ปีที่ 2 ฉบับที่ 853 ประจำวันเสาร์ที่ 13 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542

สหัสวรรษที่ 3

ใกล้วันล้างคนชั่วมาถึง วันที่คนดีทั้งโลก "ชิตัง เม"

โลกาวินาศ 1999 ที่มาพร้อมกับโลกาวิวัฒน์ ยุทธการหยุดโลกแห่งความชั่วร้าย ยุคแห่งความชั่วระบาดไปทั่ว ผู้มีอำนาจล้วนมีจิตใจชั่วร้ายได้ขึ้นเป็นใหญ่ วันที่คัมภีร์ไบเบิ้ล ได้ทำนาย ล่วงหน้ามาเกือบ 2,000 ปี

เหลือเวลาอีกเพียง 48 วัน ถ้าเราจะเริ่มนับถอยหลังจากวันนี้ จนถึงวันที่ 1 มกราคม ปี 2000!

อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อยุคกึ่งศตวรรษที่คริสต์ทำนายถึงความน่ากลัวว่า จะเป็นการล้างโลก ล้างบาป ชาวคริสต์เรียกว่า "วันพิพากษา" คนที่เขียนเรื่องนี้คือ ธิโมที ที่เขียนได้ตั้งแต่คริสต์ ศักราชที่หนึ่ง โดยระบุอาการของสังคมที่จะส่อให้เห็นว่า กลียุคได้เข้ามาถึง

"มนุษย์จะถือศาสนาแต่เปลือกนอก แก่นแท้ของศาสนาไม่รับ" และ "คนที่ชอบเยาะเย้ยจะเกิดขึ้น และประพฤติตามใจปรารถนา"

และพฤติกรรมสังคม 16 ประการ ที่ธีโมที เขียนบรรยายไว้ดังนี้

"เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่งยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้ายเกลียดชังความดี ทรยศ หัวสูง และรักสนุกยิ่งกว่าพระเจ้า"

แม้เราจะมิได้ถือพระเจ้าเหมือนชาวคริสต์ แต่เราก็มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เคารพกราบไหว้บูชา มีธรรมะของพระองค์เป็นกติกาสังคม มีศีลห้าเป็นบัญญัติ 5 ประการ ที่เป็น มาตรฐานวัดคุณความดีของคน

ผมว่าศาสนาทุกศาสนาของโลก แม้จะแตกต่างกันทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ ผิว ภาษา และสุดท้ายแล้ว เป้าหมายก็เหมือนกัน คือ สร้างคนดี กำจัดคนชั่ว ถือคติเดียวกัน อย่ากลัวคนเลว ให้กลัวคนดี และบางศาสนาถึงกับยอมทำสงครามเพื่อกำจัดคนบาปผู้รุกราน

แต่โชคดีของศาสนาพุทธ เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนให้ทุกคนถือหลัก เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พุทธศาสนาจึงได้แต่ถอยร่น ไม่เคยต่อสู้ มีแต่ให้อภัย แม้ในที่สุด ต้องหมดพุทธ ศาสนา ในอินเดีย ในอินโดนีเซีย จนถอยมาตั้งหลักสุดท้ายในสุวรรณภูมิ แต่ก็ยังอยู่

แต่มาถึงวันนี้ ชาวพุทธในเมืองไทยกำลังถูกย่ำยีหนัก กำลังถูกใส่ร้าย พุทธศาสนากำลังแตกแยกเป็นฝ่ายๆ ด้วยอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น คือ อำนาจมืด ที่หาต้นตอไม่ได้ แต่เป้าหมายคือยุคนไทยให้แตกเป็นเสี่ยงๆ

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีเต็มที่วัดพระธรรมกาย พระเถระ พระภิกษุสงฆ์ และชาวกัลยาณมิตร อดทนด้วยขันติธรรมอันสูงสุด ต่ออำนาจรัฐ การใช้กฎหมาย และเครื่องมือกลไกอาวุธของรัฐ สื่อสารมวลชนของรัฐ องค์กรรัฐ ประสานกับสื่อมวลชนภายนอก ที่สร้างกระแสและมรสุมแห่งความชั่วร้าย เข้าโจมตีวัดอย่างต่อเนื่อง ตั้งข้อหา ใส่ความ ให้ข้อมูลเท็จ

ทุกคนชอบอ้างกฎหมายเพื่อดำเนินการต่อวัดพระธรรมกาย และผู้ถือกฎหมายคือผู้มีอำนาจรัฐ ซึ่งตามกฎหมาย ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย

ดีครับ ก็ดีเหมือนกัน ใครที่ไม่เรียนกฎหมาย ก็จะไม่รู้หลักนิติธรรม กฎหมายที่ดีจะให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีเสมอ และผู้ตัดสินคือศาล เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐทำผิดกฎหมาย ก็ต้องถูก ดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นเดียวกัน ไม่มีใครได้รับยกเว้น

วันนี้ ผมสะใจที่สุด เมื่อเห็นคำฟ้อง ของพระภาวนาวิริยคุณ รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นับเป็นคดีแรก และคดีประวัติศาสตร์ที่พระฟ้องรัฐมนตรี

จำเลยที่หนึ่ง นอกจากรัฐมนตรีแล้ว ก็ยังมีอธิบดี รองอธิบดี ข้าราชการกรมการศาสนา ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเจ้าคณะจังหวัด และเลาขานุการ ซึ่งทั้งหมด ถือเป็นเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย

ประเด็นพิพาทก็คือ การใช้อำนาจของรัฐเกินอำนาจ มีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นหลัก ตามด้วย มาตรา 83 และ 84

ผมสรุปคดีแบบภาษาชาวบ้านง่ายๆ ก็คือ ตามที่หลวงพ่อทั้งสององค์ ถูกกล่าวหาตามกฎหมายสงฆ์เรื่องนิคหกรรม เรื่องสอนผิด อุตริมนุสธรรม โดยผู้กล่าวหา ซึ่งเป็นฆราวาส 2 ราย ด้วยกัน ปรากฏว่า ได้มีการโต้แย้งว่า ฆราวาสฟ้องพระไม่ได้ ได้แต่กล่าวหา เรื่องจึงถูกส่งไปตามลำดับชั้น และในที่สุด ผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ก็มีคำตัดสินว่าฟ้องไม่ได้ ซึ่งครบ กระบวนถูกต้องตามกฎหมาย ถือว่าเป็นที่สุด ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับเดิม (2521) เท่ากับคดีสิ้นสุดไปแล้ว

แต่ต่อมา ได้มีการนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม ปรากฏได้มีมติไม่ตรงกับการตีความเดิม จำเลยทั้งหมด จึงใช้อำนาจในการสั่ง ให้รีบดำเนินการเรียกโจทก์ มารับ ข้อกล่าวหาทันที ซึ่งถือว่าเป็นคำสั่งที่ผิดกฎหมาย เพราะถือว่าคดีเก่าสิ้นสุดไปแล้ว มติใหม่ไม่มีผลย้อนหลัง กฎหมายเก่า ต้องเริ่มดำเนินการใหม่หมด แต่จำเลยทำผิดขั้นตอน โจทก์ โดยพระภาวนาวิริยคุณ (องค์เดียว) ผู้เสียหายจึงร้องขอความเป็นธรรมต่อศาล

ครับ คราวนี้กงกรรมกงเกวียนครับ เพราะเจ้าคณะจังหวัดกับเลขา ก็เป็นพระภิกษุสงฆ์ ถูกฟ้องคดีอาญา ศาลรับฟ้องแล้ว จะต้องถูกปลดจากตำแหน่งหรือไม่ ก็เหมือนกับคดีที่พยายาม จะปลดเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยอ้างว่าถูกฟ้องแล้ว เหมือนกันเลยครับ เอายังไงดีครับ

หนักไปยิ่งกว่านั้น ท่านเป็นผู้พิพากษาหรือไม่ ก็เป็นคำถามใหญ่ที่คนทั้งประเทศจะรอดูครับ

คดีนี้เป็นคดีที่เป็นประเด็น "ข้อกฎหมาย" มิใช่คดี "ข้อเท็จจริง" ก็พิสูจน์ความจริงกันไปครับ แต่ชอบใจคือ คำเขียนท้ายฟ้องที่ระบุว่า โจทก์มิได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพราะ ต้องการดำเนินคดีเอง

ถือว่าเป็นความกรุณาต่อจำเลย ไม่ต้องให้ไปพิมพ์มือที่โรงพัก ไม่อยากให้ตำรวจวุ่นวาย เรียกว่า ฟ้องด้วยความปรานี แต่ทำผิดกฎหมายก็ต้องท้วงทันที...ชิตัง เม ยุคใหม่มาแล้วครับ

กาขาว


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ][วิวาทะ]