ปีที่ 2 ฉบับที่ 856 ประจำวันอังคารที่ 16 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542

วิวาทะ

ฤาแผ่นดินนี้ จะมีแต่กปิลภิกขุ อ้างพระไตรปิฎกจนไม่เห็นนิพพาน

ปัญหาวัดพระธรรมกายจะจบลงเช่นไร หากผู้ที่เกี่ยวข้องยึดถือแนวปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกต้อง (จะพูดเฉพาะแต่ข้อกล่าวหาเรื่องการอวดอุตริมนุสสธรรม) ซึ่ง พระธรรมปิฎก ยืนยันถึงเรื่องพระนิพพานจะต้องมีสภาพเป็นอนัตตาเท่านั้น

ขณะที่สายปฏิบัติอื่น ไม่จำเพาะเจาะจงกับวัดพระธรรมกายเท่านั้น ยืนยันอย่างแข็งขันว่า พระนิพพานจะต้องไม่มีสภาพเป็นอนัตตา หรือ "สูญ" อย่างแน่นอน

ด้วยเงื่อนไขที่ว่า "สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นอนัตตา"

ในเมื่อพระไตรปิฎกระบุไว้อย่างชัดเจนว่า นิพานังปรมัง สุขัง แปลวา นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีสภาพไม่หวั่นไหว เที่ยงแท้ ไม่กำเริบตามปัจจัยปรุงแต่งน้อยใหญ่ ไม่ตกอยู่ ภายใต้ แรงยึดเหนี่ยวของไตรลักษณ์ ประกอบด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

หากยืนยันว่า พระนิพพานเป็นอนัตตา พระนิพพานย่อมเป็นไตรลักษณ์ไปด้วย แล้วพุทธศาสนิกชนจะไปเคารพ เทิดทูน หรือมุ่งหวังในนิพพานให้เปล่าประโยชน์ไปทำไม???

หลวงพ่อธุดงค์ พระสายปฏิบัติที่มีชื่อเสียง เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยยิ่ง ได้แสดงธรรมไว้อย่างน่าสนใจ มีสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า...

คนที่มีความรู้ แต่ไม่ปฏิบัติตามความรู้ มีผลอย่างไร?

หลวงพ่อธุดงค์ท่านบอกว่า... ก็ดูพระที่วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อปานท่านสอนกรรมฐาน มีพระกี่องค์ที่ทำกรรมฐานบ้าง และมีกี่องค์ที่ไม่ทำกรรมฐาน และมีพระกี่องค์ ที่เชื่อท่านจริงๆ และมีพระกี่องค์ที่ไม่เชื่อท่าน ต่อหน้ามีความเคารพ แต่ลับหลังเหมือนกับลิงหลอกเจ้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อไปในเบื้องหน้า คนประเภทกปิลภิกขุ จะมีมากมายในเขตพระพุทธศาสนา

กปิลภิกขุ หรือพระกปิล เมื่อสมัยนั้นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากัสสปะ ยังทรงมีชีวิตอยู่ เธอก็เรียนจบพระไตรปิฎก มีพี่ชาย พี่ชายก็บวชพร้อมกัน พี่ชายเป็นคนแก่ รู้ตัวว่าเป็นคนแก่ แต่ความจริงก็ยังไม่แก่ ไม่ขอเรียนพระไตรปิฎก เรียนเฉพาะความรู้ในด้านวินัยธรรมะพอสมควร พอเอาตัวรอด แล้วก็ฝึกในด้านปฏิบัติ

สำหรับปริยัติก็พอรู้บ้างตามสมควร พอเอาตัวรอด ทั้งสองคนนี่มีผลไม่เสมอกัน พี่ชายไม่ช้าก็เป็นอรหันต์ กปิลภิกขุ เธอมีลูกศิษย์มากมาย ทุกคนยอมรับนับถือเธอจบพระไตรปิฎก เมื่อมีลูกศิษย์มาก ก็มีลาภสักการะมาก หนักๆ เข้า เธอก็เปลี่ยนแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้ เธอก็พูดอย่างโน้น

พระพุทธเจ้าบอกว่า คนเกิดมาแล้ว เมื่อตายแล้วไม่ "สูญ" ถ้าจิตยอมรับความดีเวลาตายก็ไปสู่สุคติ ถ้าจิตยอมรับความชั่วก็ไปสู่ทุคติ อย่างนี้เป็นต้น เธอก็กลับไปพูดไปอย่างอื่นว่า ตายแล้วมีสภาพสูญ อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าเธอก็เทศน์สอนคนอื่นเขา ในที่สุดเธอตายไปแล้ว เธอก็ลงอเวจีมหานรก

มาสมัยพุทธเจ้าองค์นี้ตรัสรู้ขึ้นมา เธอเกิดขึ้นมาเป็นปลาทอง ชาวประมงจับได้เอาไปถวายพระราชา พระราชานำไปพระพุทธเจ้า เกล็ดเหลืองเหมือนทองคำ แต่เวลาอ้าปาก กลิ่นเหม็น เหมือน อุจจาระ ฟุ้งทั่ววิหาร เมื่อองค์พระพิชิตมาร ถามเธอว่า เธอมาจากไหน เธอก็บอกว่า มาจากอเวจีมหานรก

ถามว่า เธอชื่ออะไร เธอก็บอกว่า เมื่อก่อนเธอชื่อ กปิลภิกขุ ในสมัยพระพุทธกัสสปะ พระพุทธเจ้าถามว่า แม่ของเธอไปไหน เธอก็ตอบว่า แม่ของเธอไปอเวจีมหานรก เพราะด่าพระ ร่วมกัน น้องสาวไปไหน น้องสาวไปอเวจีมหานรก

ถาม พระพี่ชายของเธอล่ะ พระพี่ชายของเธอล่ะ พระพี่ชายของเธอไปนิพพาน วิบากกรรมข้างต้นเกิดจากอะไร?

เพราะว่าบรรดาพระทั้งหลายเห็นว่า เธอสอนชาวบ้าน สอนพระเปลี่ยนแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคนที่จบพระไตรปิฎก ไม่ได้จบองค์เดียว ที่จบพระ ไตรปิฎก ตามธรรมดาก็มี เป็นพระอรหันต์ก็มี แม้แต่พระอรหันต์เข้ามาเตือน เธอก็ไม่เชื่อกลับด่าพระ ด่าพระธรรมดา ด่าพระทรงฌาน ด่าพระอรหันต์ ด่าจิปาถะ หาว่าพูดไม่เป็นไป ตามความจริง ฟุ้งเฟ้อต่างๆ นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี

ต่อมาพระทั้งหลายเห็นว่า ไม่เป็นเรื่อง ก็ไปบอกพระพี่ชายให้มาเตือน พระพี่ชายมาเตือน เธอก็ด่าพระพี่ชายไปเสียอีก หาว่าพระพี่ชายไม่เคยเรียนอะไร เธอจบพระไตรปิฎก คนโง่เง่า เต่าตุ่น อย่างนี้อย่ามาสอนกัน พระพี่ชายก็ต้องกลับเข้าป่าไป

ต่อไปสภาพของเธอก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันจะไม่พยากรณ์ว่า เขาทั้งหลายเหล่านั้น จะไปอเวจีมหานรก แต่เธอก็จะพบกับคนที่เขาถือว่า เขามีความรู้ดี แต่เขาก็จะไม่เชื่อในวาทะ ที่เธอ กล่าวที่เธอสอน เธอจะต้องเป็นคนมีลูกศิษย์มาก เธอจะต้องเป็นคนมีงานหนัก หนักทั้งทางโลก และทางธรรม คือหนักทั้งชาวโลก และหนักทั้งชาวพุทธ และพระการปกครองพระก็หนัก การสร้างวัดก็หนัก การสงเคราะห์ในการศึกษาเล่าเรียนก็หนัก การสงเคราะห์คนยากจนเข็ญใจก็หนัก หนักทุกอย่าง

ชีวิตของเธอจะไม่เป็นชีวิตที่มีความสุขเหมือนชาวบ้านเขา เพราะร่างกายจะต้องหนักใจจะต้องคิด เมื่อจิตต้องคิด กายต้องหนักในการงานแล้ว กายก็ต้องป่วย เพราะกฎของกรรม

ผมเห็นว่า ภาพการดังกล่าว กำลังวิบัติขึ้นในพุทธศาสนาบนพื้นแผ่นดินไทย และมีแนวโน้มว่า จะมีพระภิกษุประเภท "กปิลภิกขุ" มากขึ้น

คงไม่ต้องเจาะจงว่า ท่านใดอาพาธป่วยไข้ มีกลิ่นปาก เห็นพระนิพพานไม่มีตัวตน "สูญ" ทำงานหนักทั้งกายและใจ ก็จะใครเล่าที่ไดชื่อว่าเป็นผู้ปราดเปรื่องพระไตรปิฎก และปฏิเสธ สมาธิเป็นเสมือนฝิ่น

ใครกันขอรับพระคุณเจ้า

โซตัส


[หน้าหลัก][หน้า1][วิวาทะ]