ปีที่ 2 ฉบับที่ 864 ประจำวันพุธที่ 24 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542

วิวาทะ

อัตตา-อนัตตา "พระนิพพาน" ที่ทุ่มเถียงบิดเบี้ยวเมื่อปริยัติสอนปฏิบัติ (จบ)

///////////////

นักปริยัติบางท่านอาศัยภูมิธรรมอะไรไปวัดกับนักปฏิบัติเหล่านั้น โดยเฉพาะกับพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ที่อุทิศชีวิตให้กับพระพุทธศาสนา ไม่บังอาจเกินไปหรือ จึงอยากถาม นักปริยัติ เหล่านั้นว่า

1. ถ้าท่านเป็นฆราวาส ท่านทำอย่างไร พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ หรือพันเอกปิ่น มุทุกันต์ ที่นำธรรมะของฆราวาสมาขยายความในทางปฏิบัติไม่ดีกว่าหรือ?
2. ถ้าท่านเป็นพระสงฆ์ เหล่าสาธุชนก้มกราบท่านด้วยความเคารพ เพราะหวังว่าท่านจะปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ใช่ปริยัติดี ปริยัติชอบ ท่านไม่ต้องคำก็บาลี สองคำก็บาลีหรอก พระไตรปิฎกแปล เป็นภาษาไทยอย่างมาตรฐานมีอยู่แล้ว ใครก็อ่านได้ แต่สาธุชนไม่มีเวลาเหมือนท่าน จึงอยากให้ท่านปฏิบัติ เมื่อได้ความรู้จากการปฏิบัติ เทียบเคียงกับ ตำรา ที่ท่านศึกษาตรงกันแล้ว ได้โปรดกรุณาเผยแผ่ด้วย ไม่ใช่ให้ท่านอวดภูมิปริยัติ และไม่ใช่ให้ท่านมาสร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้นเป็นโลกวัชชะ คือชาวโลกติเตียน เช่นนี้

ดังนั้น อยากทราบว่า การที่นักปริยัติบางท่าน ใช้ภูมิปริยัติสอนปฏิบัติ แล้วปฏิเสธประสบการณ์ของนักปฏิบัติ ถูกต้องหรือไม่ สมควรหรือไม่?

แสดงความเห็นของตัวเอง แต่บอกว่า เป็นของส่วนรวม 

ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจและตกใจ ที่เห็นมีผู้กล่าวหรือเขียนว่า พุทธเถรวาทถือนิพพานเป็นอนัตตา เพราะความจริงนั้นไม่ใช่ ซึ่งได้นำเสนอไปบ้างแล้ว ในบทความเรื่อง "ธรรมกาย" ถ้าท่านเหล่านั้น ซึ่งโดยมากเป็นนักปริยัติบอกว่า เป็นความเห็นส่วนตัว ก็คงไม่มีใครว่าอะไร เพราะเป็นเรื่องของท่าน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่นี่ท่านกลับบอกว่า ใครไม่เห็นตาม ท่าน ไม่ใช่พุทธเถรวาท ไม่ทราบว่าท่านอาศัยอะไรจึงกล่าวเช่นนี้ นอกจากจะบิดเบือนคัมภีร์ดังที่ยกตัวอย่างมาเท่านั้น และความเป็นจริงแล้ว พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ฝ่าย เถรวาทนั้น มีความเห็นที่หลากหลาย ส่วนใหญ่มักให้ความเห็นว่า นิพพานไม่สูญ คือเป็นอัตตาด้วยซ้ำ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างด้วยความเคารพ ดังนี้

1. พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) "....อันตัวที่ไม่ตาย ท่านให้ชื่อว่า โพธิสัตว์ พึงสันนิษฐานได้ว่า สัตว์นั้นแลคือตัวเรา เป็นผู้ไม่ตาย เหมือนอย่าง พระอริยเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เมื่อได้สำเร็จพระอรหัตผลแล้ว ก็เป็นอันได้สำเร็จพระนิพพาน เมื่อท่านสำเร็จพระนิพพานแล้ว สัตว์ที่ตรัสรู้ที่ไม่เคยตายนั้น ก็ยังไม่สูญไปข้างไหน สูญแต่กิเลสเครื่องก่อภพก่อชาติเท่านั้น จึงพอสันนิษฐานเห็นได้ว่า พระนิพพานไม่สูญอย่างเอก แต่การจักทำให้สำเร็จต้องฝ่าฝืนอำนาจของพระยามาร..."

2. พระเดชพระคุณพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ "...แม้พระบรมศาสดาของเราก็เช่นเดียวกัน พระองค์ประทับนั่งอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์แห่งเดียว เมื่อจะดับโลกสาม ก็มิได้เหาะขึ้นในในโลกสาม พึงดับจิตของตนๆ จนทำลายกิริยา คือตัวสมมติหมดสิ้นจากจิต ยังเหลือแต่ อกิริยา เป็นฐีติจิต ฐีติธรรม อันไม่รู้จักตายฉะนี้แล..."

3. พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ "....ส่วนกายพระอรหัต ถึงพระอรหัตละก็ เป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา แท้ๆ กายธรรมก็ขันธ์เหมือนกัน แต่เป็นธรรมขันธ์ ท่านไม่เรียกเบญจขันธ์ เป็นธรรมขันธ์เสีย มีธาตุเหมือนกัน เป็นวิราคธาตุ เป็นวิราคธรรม..."

4. หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าโคกมน จังหวัดเลย "...นิพพานไม่ได้สูญ ไม่ได้อยู่ตามที่โลกคาดคะเนหรือเดากัน ทำจริงจะได้เห็นของจริง รู้จริง และจะเห็นนิพพานเอง เห็นพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นครูบาอาจารย์ที่ท่านบริสุทธิ์เอง และหายสงสัยโดยประการทั้งปวง..."

5. พระเดชพระคุรพระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ จังหวัดอุทัยธานี "....โดยจะมีความรู้ มีความสามารถแค่ไหนก็ตาม มีบุญวาสนาบารมีขนาดไหนก็ตาม.. ในที่สุดก็ตาย.. จุดที่ไม่ตายก็มีจุดเดียวคือ... นิพพาน..."

6. พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธิญาณโสภณ หลวงพ่อมหาบัว ญาณสัมปันโน "....การที่เราบำเพ็ญอยู่เวลานี้ และบำเพ็ญเรื่อยมานี้แล คือการดำเนินเพื่อหลบหลีก ปลีกภัยทั้งหลาย โดยลำดับ จนบรรลุถึงมหาสมบัติอันพึงหวัง จากนั้นจะเรียกว่า นิจจังเป็นของเที่ยงก็ได้ เพราะไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีอะไรเข้ามาทำลายจิตให้เดือดร้อนวุ่นวาย จะเรียกว่า บรมสุข ก็ไม่ผิด จะเรียกว่า อัตตา ก็ไม่น่าจะผิด เพราะเป็น ตนแท้... ถ้าอยากไปนิพพานก็ให้เชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าอยากลงไปนอนเป็นปลาต้มอยู่ในนรกก็ให้เชื่อกิเลสตัวเอง หลอกว่า นิพพานไม่มี..."

ดังนั้นอยากทราบว่า การที่นักปริยัติบางท่าน ใช้ความเห็นของตัว แล้วบอกว่า เป็นความเห็นของส่วนรวม ถูกต้องหรือไม่ สมควรหรือไม่?

ครับ บทความนี้อาจแรงไปบ้าง ด้วยผู้เขียนเห็นว่า เรื่องมันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่ หยุดเถิดครับ เราคนไทยด้วยกัน โดยเฉพาะกับฆราวาส อย่าไปมีความเห็นในเรื่อง นิพพาน เลย ครับ เอาเป็นว่าอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ให้ใครเขาว่าได้ว่ากบในกะลาก็น่าจะพอแล้ว และขอส่งท้ายด้วย วาทะเรื่องนิพพานของพระภาวนาวิริยคุณ (ผู้ถูกกล่าวหา นิคหกรรม จากผู้อวดรู้ทั้งหลาย ซึ่งไม่ทราบว่า บรรลุธรรมกันตั้งแต่เมื่อไหร่) ดังนี้ "...การพูดเรื่องนิพพานนี่ ต้องระวังให้ดี เอาความหมายของคำว่า หมดกิเลสเป็นหลัก เข้าใจความหมาย ของคำแล้วก็จบกันแค่นี้ ไม่ต้องพูดเรื่องอายตนนิพพาน หรือที่อยู่ของพระนิพพาน ใครอยากรู้อยากเห็น ต้องปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง แล้วมีโอกาสรู้เห็นได้ด้วยตนเอง ธรรมะ ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้ด้วยตนเอง จะได้ไม่ต้องมาฟังพวกทุศีล หรือคอกาแฟโต้กัน เรื่องพระนิพพาน เป็นอัตตาหรืออนัตตากัน ในวงเหล้าหรือ ตามร้าน กาแฟ.."

ธรรมทายาท (แทน)


[หน้าหลัก][หน้า1][วิวาทะ]