ปีที่ 2 ฉบับที่ 882 ประจำวันอาทิตย์ที่ 12 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2542

สำนักข่าวต่างดาว

ช้าก่อนโยม

สงครามใหญ่ใกล้ระเบิด 
ดูเอาเถิดสาธุชน
หมู่มารบันดาลดล
เร่งหวังผลปลดธัมมชโย

สำนักข่าวต่างดาวเปิดแถลงแจงสี่เบี้ยว่าด้วยเรื่อง การสั่งพักตำแหน่งเจ้าอาวาสของพระธัมมชโย มีความชอบธรรมมากน้อยแค่ไหน??

ตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่า วัดพระธรรมกาย "ผิด" ตามที่สื่อมวลชนกล่าวหามาเป็นเวลานานกว่า 1 ปี

แน่นอนคนส่วนใหญ่ล้วนเชื่อ "กระแส" อยู่แล้ว แต่มีใครเคยนึกบ้างไหมว่า บางครั้ง "กระแส" ที่ปรากฏอยู่ในสังคม ก็ไม่เป็นความจริงด้วยเหมือนกัน

ถ้าจะพูดวัดพระธรรมกายกันแบบตรงไปตรงมาแล้ว เราเชื่อว่า วัดแห่งนี้ สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนา ออกไปทั่วโลก ได้อย่างยิ่งใหญ่ จนใครๆ ก็คาดไม่ถึง

ทั้งบุคลากร และความพร้อมในด้านต่างๆ ยากจะหาองค์กรพุทธใดๆ ในโลก ที่จะเพรียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ถึงขนาดนี้

แต่มาถึง ณ วันนี้ สังคมไทยกลับมองว่า วัดพระธรรมกายมีปัญหา

มีปัญหารุนแรงจนถึงขั้นต้องปลด พระธัมมชโย ออกจากการเป็นตำแหน่งเจ้าอาวาส นอกจากนี้ ยังมีคนบางคนหวังไกลไปกว่านั้น คือ "การจับสึก"

ทีนี้ ลองมาลงไปในรายละเอียดของเนื้อหาของ "ละคร" ฉากหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นดูบ้างว่า จุดเริ่มต้นของละครมาจากไหน อะไรมีเหตุให้เป็นไป

มองแบบสังคมภายนอกวัด เขาก็บอกว่า วัดพระธรรมกาย "ดูดทรัพย์ ระดมทุน ปั่นหุ้น ปั่นที่ดิน" ซึ่งไม่ใช่กิจของพระ

ถูกต้อง ถ้ามองกันในมุมนั้น มันก็ยากที่จะเถียงขึ้น เพราะตามกฎของพระ เขาห้ามการสั่งสมทรัพย์สินอยู่แล้ว

แต่ในทางตรงกันข้าม มุมมองของผู้ร่วมบุญบริจาคเงินกับวัดพระธรรมกาย กลับมองว่า 

ที่ต้องมีทรัพย์มีที่ดินจำนวนมากนั้น ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการสะสม แต่มันคือ "เสบียง" อันสำคัญ ที่จะจรรโลงพระศาสนาออกไปทั่วโลกมากกว่า

เมื่อบุคคล 2 กลุ่ม มีความเห็นต่างแนวคิด ต่างมุมมอง ความขัดแย้ง มันย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

ทีนี้ มันก็ต้องมามองถึงผลสรุปกันล่ะว่า เรื่องนี้ ควรจะมีบทสรุปออกมาเป็นยังไงดี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพระศาสนา และสังคม

ฉากจบของละครที่เราเห็นในจอทีวี ส่วนใหญ่ จะแยกเป็น 3 แบบ คือ

แบบแรก โศกนาฏกรรม คู่พระคู่นาง มีอันเป็นไปในตอนจบ

แบบที่สอง พระเอกนางเอกชนะ ผู้ร้ายตายถูกรุมประฌาม

แบบสุดท้าย พระเอกนางเอง สามารถกลับใจผู้ร้ายให้กลายเป็นคนดีได้ หรือที่นิยมเรียกว่า Happy Ending ได้ดีด้วยกันทุกฝ่าย

สำหรับสำนักข่าวต่างดาวแล้ว อยากจะเลือกแบบสุดท้ายมากกว่า เพราะไม่ต้องการให้เกิดความ "เจ็บปวดซ้ำซาก" ขึ้นในวงการพระพุทธศาสนา

ในอดีตที่ผ่านมา เราเคยสูญเสียพระดีๆ ไปหลายรูป เพราะสังคมไม่เข้าใจ และนิยมใช้ความรุนแรงแบบหนังซาดิสต์ เข้าแก้ไขปัญญหา

ทั้งๆ ที่ปัญหาในวงการสงฆ์ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรแก้ไขด้วยสติปัญญา ไม่ใช่มันส์บะละฮึ่ม แบบหนังแอคชั่น

เป็นที่น่าแปลกใจบ้างหรือไม่ว่า ทำไมไม่เคยมีการตั้งโต๊ะกลม ร่วมเจรจาระหว่างตัวละครทุกฝ่าย แม้แต่ครั้งเดียว

ในขณะที่ฝ่ายมารเปิดแนวรุกอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านเครือข่ายสื่อมวลชน ที่โยงใยกันเป็นปลาหมึกย่าง มีเป้าหมาย "น็อคลูกเดียว" โดยไม่เคยเปิดทางให้มีโอกาสได้เจรจากันทั้ง 2 ฝ่าย

ภาพที่ปรากฏออกมา มันชัดเจนเหลือเกินว่า ฝ่ายรุกมีความต้องการ "ทำลายล้าง" มากกว่าเป็นการ "ติเพื่อก่อ" หรือเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีต่อพระศาสนา

ทำไมคนวัดพระธรรมกาย จะไม่รับรู้ต่อ "สัญญาณ" เหล่านี้ เขาย่อมรู้เป็นธรรมดา เพราะเขาโดนมาด้วยตนเอง

แต่แทนที่พวกเขาจะออกมาร้องแลก แหกกระเชอ การณ์กลับปรากฏว่า พวกเขายินดีที่จะต่อสู้กับปัญหาที่รุมเร้า "ด้วยความสงบ"

อย่างไรก็ตาม ความอดทนของคนที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ย่อมมีข้อจำกัดเสมอ

ดังนั้น เราอยากเตือน พรรคพวกที่กำลัง "คึกคะนอง" เมามันส์อยู่กับการทำร้ายคนอื่น ทั้งๆ ที่เขาไม่อยากสู้รบปรบมือด้วย

โปรดจงสังวรณ์ระวังตัวไว้ให้ดีว่า เมื่อคนเราหมดทางถอย เขาก็ต้องหันมาสู้เป็นธรรมดา

ดังจะเห็นได้ชัดเจนแล้วว่า การฟ้องร้องที่เกิดขึ้นกว่า 500 คดี และการรวมตัว ประท้วงเงียบ ด้วยการปักกลดธุดงค์ในวัดของบรรดาสานุศิษย์ ที่พร้อมใจกันสู้แบบถวายชีวิต

ศึกครั้งนี้ ใกล้ระเบิดเถิดเทิง ใกล้จะกลายเป็นสงครามศาสนา ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน

เราไม่อยากเห็นความเสียหายเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา เราไม่อยากเห็นคนต้องมาสังเวยชีพด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เราไม่อยากเห็นการจ้องทำลายล้าง โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา

เป็นไปได้มั้ย ที่ทุกฝ่ายจะหันหน้าเข้าหากัน เจรจาหาทางออกกันด้วย "สันติวิธี" 

มันยังไม่สายจนเกินไปมิใช่หรือ?


[หน้าหลัก][หน้า1][ต่างดาว][วิวาทะ]