ปีที่ 2 ฉบับที่ 882 ประจำวันอาทิตย์ที่ 12 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 |
ย้อนรอยคำสั่งพักเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย-นิคหกรรม
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
ในที่สุด แผนการอันแยบยลของคณะผู้ปฏิบัติการไล่ล่าวัดพระธรรมกาย และ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระธัมมชโย สมภารวัดใหญ่แห่งเมืองปทุมธานี
ก็สำเร็จลุล่วง สมดังความมุ่งมั่นปรารถนาหมู่คณะ ไปทั่วหน้าแล้ว
คำสั่งพักตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายชั่วคราว สำเร็จลุล่วงไปแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2542
หลังจาก มีความพยายามจากกระทรวงศึกษาธิการ อันมี สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แห่งพรรคชาติไทย พร้อมคณะทีมที่ปรึกษา เสฐียรพงษ์ วรรณปก
"เสี่ยตือ" พูดเสียงดังฟังชัดว่า เป็นผลงานของกรมการศาสนาโดยแท้ ที่สามารถสั่งพักเจ้าอาวาส เป็นผลสำเร็จ
ส่วนกรณีนิคหกรรม ก็จะต้องดำเนินการต่อไป แต่ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ ที่จะต้องไปจัดการแก้ไขปัญหากันเอง
ย้อนถึงท่วงที และความพยายามในการถอดถอน หรือสั่งพักตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายของพระธัมมชโย
เริ่มจากที่ ไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนาเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ก็ได้ ปรารภถึงการสั่งพักเจ้าอาวาสในเบื้องแรกแล้ว โดยมีเสี่ยตือ และทีมที่ปรึกษาเฝ้าครุ่นคิดว่า
จะ ดำเนินการอย่างไร จึงจะสามารถจัดการตำแหน่งเจ้าอาวาสได้
ความพยายามดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียงแค่าความคิดที่ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน หรือปล่อยไปตามกระแสแห่งสายลม และแสงแดด
แต่เป็นความพยายามที่จะลงมือลงแรงปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
ปฏิบัติการกดดันพระสังฆาธิการรูปแรก มีกระสุนไปลงที่ พระครูปทุมกิจโกศล เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง
โดยการนำใบสั่งขู่บังคับให้ท่าน
พิจารณาสั่งพักตำแหน่ง
เจ้าอาวาสของ พระธัมมชโย
ทว่า พระครูปทุมกิจโกศล ไม่เล่นด้วย ซ้ำกลับแสดงท่าทีอันชัดเจนในฐานะพระผู้ใกล้ชิด ควบคุมดูแลพระธัมมชโยมากว่า 20 ปี
ไม่ปรากฏว่า .. หากพระธัมมชโยดำรงอยู่ในตำแหน่งพระสังฆาธิการแล้ว จะทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง หรือกระทำการใดให้เสื่อมเสียต่อสถาบันพระศาสนา โดยรวม
ยังไม่พอ พระครูปทุมกิจโกศล กลับออกมาการันตีคุณงามความดี ของท่านธัมมชโยเสียอีก โดยยืนยันว่า พร้อมเอาตำแหน่งของท่านเป็นเครื่องประกัน
มิช้ามินาน คำสั่งปลดพระครูปทุมกิจโกศล จากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง ที่มีชื่อของพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ก็ถูกส่งมาถึงพระครูปทุมกิจโกศล
พระครูปทุมกิจโกศล แม้ท่านจะมีอายุพรรษามากโข แต่ก็ยังมีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม ยังคงยืนกรานว่า ได้ทำหน้าที่ของท่านสมบูรณ์แล้ว และไม่นึกเสียใจต่อคำสั่งปลด
และยินดี
น้อมรับคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเสียอีกด้วย
นั่นคือ จริยวัตรของพระแท้!!
ที่ไม่ไหลบ่าไปตามกระแสโลก...
มีสติปัญญาแยกแยะได้ว่า ใครคือผู้บังคับบัญชาของท่าน และใครไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาของท่าน แต่กลับเอาตัวเข้ามายุ่มย่ามการปกครองของคณะสงฆ์
จึงเป็นไม่ได้ที่พระแท้ พระดี จะยอมโอนอ่อนผ่อนตามกระแสของฆราวาส ที่ไม่มีความรอบรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดีพอ
แผนการนักไล่ล่าถูกตระเตรียมไว้อย่างดี
พ้นจากท่านพระครูปทุมกิจโกศล เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี มีคำสั่งแต่งตั้งพระปริยัติวโรปการ ซึ่งเป็นพระเลขาของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
ขึ้นมารักษาการ เจ้าคณะตำบล
คลองหนึ่ง
เป็นภาพการที่เด็กเมื่อวานซืน คงพอจะคาดเดาได้ว่า ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นหวยล็อค ของนักไล่ล่าที่ต้องการนำรักษาการเจ้าคณะตำบลรูปนี้ ออกคำสั่งพักเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ท่ามกลางกระแสที่ว่า "คำสั่งต่อคำสั่ง" หมูไปไก่มา
แต่เรื่องของพระสงฆ์ ผมไม่อยากจะเชื่อว่า ท่านเหล่านั้น จะมีจิตโสมมเห็นแก่ลาภ ยศถาบรรดาศักดิ์น้อยใหญ่
ผมจึงเห็นว่า เรื่องที่กุขึ้นมา เป็นเรื่องลามกอัปรีย์ทั้งเพ!!
คำถามมีอยู่ว่า พระปริยัติวโรปการ ท่านวินิจฉัยตามใบสั่งของใคร????
หรือท่านพิจารณาตามกฎมหาเถรสมาคม โดยขาดความข้าใจในเจตนารมณ์ของกฎมหาเถรสมาคมกันแน่
พิเคราะห์ได้ความว่า การที่พระธัมมชโยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสอยู่ แม้จะต้องคดีอาญา แต่ศาลก็ยังไม่ได้พิพากษาถึงที่สุด อีกทั้งท่านก็ยังมิได้สร้างความเสื่อมเสียใดๆๆ
ท่านรักษาการเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง มีเหตุผลใดจึงสั่งพักเจ้าอาวาส???
เพราะในกฎมหาเถรสมาคมไม่ได้บังคับเจาะจงลงไปว่า พระที่ต้องคดีอาญา จะต้องพ้นจากตำแหน่งพระสังฆาธิการเสมอไป หากเพียงแต่พระผู้ปกครอง ต้องใช้วิจารณญาณ พิจารณาด้วยปัญญาว่า การดำรงตำแหน่งดังกล่าวของพระผู้ต้องอธิกรณ์เสียหายอย่างไร ต่อพระพุทธศาสนา
นี่คือเจตนารมณ์ของกฎมหาเถรสมาคม
จึงฝากให้พระสุเมธาภรณ์ ในฐานะหนึ่งในคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ตระหนักถึงพระธรรมวินัย มากกว่าความรู้สึกนึกคิดของคนหมู่มาก
โดยเฉพาะเรื่องการรื้อคดีนิคหกรรมของพระธัมมชโย ที่ประธานผู้พิจารณาชั้นต้น และคณะผู้พิจารณา รวมถึงพระสุเมธาภรณ์ ที่มีวินิจฉัย "ยกฟ้อง" ไปก่อนหน้านี้ ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การแอบอ้างถึงมติคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ว่ามีมติให้รื้อคดีนิคหกรรมขึ้นมาหรือไม่
ในความเป็นจริงแล้ว เป็นอย่างไร ไม่มีใครทราบ นอกจากฆราวาสหัวดำๆๆๆ สองคน ที่ออกมาอ้างว่า เป็นมติมหาเถรสมาคม คือ อธิบดีกรมการศาสนา
และรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาฯ
ครับ จะทำอะไรก็ต้องคิดถึงพระธรรมวินัยเป็นเขตแดน เป็นข้อยุติ พระคุณเจ้าในฐานะเนื้อนาบุญที่พุทธศาสนิกชนกราบไหว้ จะทำอะไร ต้องมีความมั่นคง หนักแน่น
ผมไม่อยากเห็นชาวพุทธมองพระคุณเจ้าเป็นหุ่นเชิด ไร้หลักการ ไม่มีจุดยืน และหากชาวพุทธมีความรู้สึกเช่นนั้นเมื่อไหร่ ขอให้พระคุณเจ้าทั้งหลาย รับรู้ไว้ด้วยเถิดว่า
พุทธบริษัททั้ง 4 กำลังช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา คนละไม้คนละมือ ทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งประวัติศาสตร์ไทย จะต้องจารึกบทเรียนราคาแพงนี้ ให้อนุชนรุ่นหลัง
ได้ศึกษาควบคู่ ไป
กับคราบน้ำตา
โซตัส