ปีที่ 2 ฉบับที่ 883 ประจำวันจันทร์ที่ 13 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 |
อ.มหาจุฬาฯ ชำแหละนิคหกรรม ติงพระคุณเจ้ารื้อคดีต้องอาบัติ
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก โรงแรมรามา การ์เด้น เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ได้มีการจัดสัมมนา เรื่อง "เบื้องหน้า เบื้องหลัง นิคหกรรม" โดยชมรมผู้รักธรรม และกลุ่มพุทธรักษา มี นายจำนงค์ สวมประคำ รองเลขาธิการวุฒิสภา เป็นประธานและดำเนินการอภิปราย ร่วมกับ นายแสวง อุดมศรี อ.สอนวิชาการปกครองคณะสงฆ์
และเลขานุการชำระ พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย แห่งมหาจุฬาราชวิทยาลัย มีความเชี่ยวชาญเรื่องนิคหกรรม โดยเฉพาะ โดยฝ่ายสงฆ์ พระเทพกิตติปัญญาคุณ หรือพระกิตติวุฑโฒ ร่วมอภิปราย
นายจำนงค์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของนิคหกรรม ซึ่งให้คุณให้โทษกับพระภิกษุสงฆ์ และสามเณร ผู้ที่ประพฤติละเมิดต่อพระธรรมวินัย ซึ่งเรื่องนี้ คนทั่วไปไม่ค่อยมีความเข้าใจ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งสร้างเสริมให้ประชาชน และชาวพุทธเข้าใจถึงกระบวนการนิคหกรรม เพื่อที่จะได้นำมาปกป้องพระพุทธศาสนากันอย่างถูกต้อง
นายแสวงกล่าวว่า ก่อนจะพูดถึงนิคหกรรม จะต้องเกิดอธิกรณ์ขึ้นมาก่อน ซึ่งทางโลกอาจหมายถึงคดีความต่างๆ แต่ทางสงฆ์หมายรวมไปถึงข้อขัดแย้ง ตลอดจนกิจที่ต้องทำ คือ สังฆกรรมต่างๆ ด้วย ซึ่งมีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่ วิวาทาธิกรณ์ ข้อโต้แย้งในระหว่างสงฆ์ด้วยกัน อนุวาทาธิกรณ์ การปฏิบัติตนที่ไม่เหมาะสมต่างๆ ของสงฆ์ อปัติตาธิกรณ์ เกี่ยวข้องกับอาบัติของพระโดยตรง และกิจจาธิกรณ์ เรื่องกิจของสงฆ์ที่ต้องทำกัน เป็นการเฉพาะ เช่น กฐินกรรม ญัตติจตุถกรรม ฯลฯ
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวิธีระงับอธิกรณ์ไว้ 7 วิธี ได้แก่ 1.สัมมุกขาวินัย มีความพร้อมหน้ากัน ทั้งบุคคล สงฆ์ ธรรม และวินัย 2.สติวินัย
การให้ สติ
ตักเตือนสงฆ์ที่กระทำผิด เพราะเผลอสติ ผิดพลาดไปโดยไม่ตั้งใจ 3.สมุหวินัย ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในขณะที่ควบคุมสติไม่ได้ หรือวิกลจริต 4.ปฏิญญาตกรณวินัย
ผู้ถูกกล่าวหา สารภาพอย่างไร ตรวจสอบแล้วให้เป็นไปตามนั้น 5.พิจารณาตามสงฆ์ส่วนใหญ่ 6.ตัสสะปาริสิกขา ลงโทษแก่สงฆ์ที่กระทำผิด ตามสมควรแห่งโทษนั้นๆ และ 7.ติณวถารกวินัย ระงับอธิกรณ์ด้วยการประณีประนอม เหมือนเอาหญ้ากลบไว้
ข้อสำคัญของการระงับอธิกรณ์ ก็คือ สงฆ์ บุคคล ธรรม และวินัย จะต้องพร้อมเพรียงกัน หมายถึง ถูกธรรม ถูกวินัย สงฆ์ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ต้องมาพร้อมหน้ากัน
แต่เมื่อระงับ
อธิกรณ์แล้วไม่ลงตัว ก็จะมาถึงประเด็นนิคหกรรม ซึ่งเป็นบทลงโทษแก่ภิกษุดื้อด้าน มีอยู่ 5 วิธีด้วยกันได้แก่
1.ติกขณียกรรม ขู่ให้กลัว จะได้ไม่กล้าทำผิดต่อไป 2.นิสยกรรม ให้กลับไปถือนิสัยใหม่ แสดงถึงยังขาดวุฒิภาวะ ขาดความพร้อมที่จะเติบโตเป็นพระผู้ใหญ่ จึงให้ถอยกลับไปเรียนกับอาจารย์เดิม 3. ปัพพาชนียกรรม ลงโทษด้วยการขับไล่ ข้อนี้เกิดเรื่องขึ้นที่ไหน ต้องไปทำที่นั่น และต้องทำให้พระอุโบสถ เป็นสังฆกรรมสำคัญ จะทำอย่างส่งเดชไม่ได้ 4.สาราณียกรรม ให้กลับระลึกได้ว่า ตนเป็นผู้ผิด แล้วให้กล่าวขอโทษ และ 5.อุกเขปณียกรรม ให้ออกจากหมู่คณะไปเลย เป็นบทลงโทษที่รุนแรงที่สุด
อาจาย์สอนวิชาการปกครองคณะสงฆ์ กล่าวต่อไปว่า ทั้งหมดนี้เป็นการลงโทษทางวินัย จะต้องทำญัตติจตุถกรรม เป็ฯการให้เวลาแก่สงฆ์ผู้ทำผิด ได้สำนึก
ในระหว่างที่สวดญัติ นั้น ถ้าระลึกได้ ก็แสดงอาบัติและสละคืน อธิกรณ์ก็ระงับกันไป แต่ถ้าสวดจนครบ 3 จบ แล้ว ยังระลึกไม่ได้ ก็ประชุมสงฆ์พิจารณาลงนิคหกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ให้เหมาะสม กับโทษ และต้องทำในพระอุโบสถ หรือที่สงฆ์สมมติขึ้นมา และต้องไม่มีอนุปสัมบันมาเกี่ยวข้องในเขตหัตถบาต
มิเช่นนั้น นิคหกรรมนั้นถือเป็นโมฆะ จึงต้องคณะพระผู้พิจารณาดำเนินการ เมื่อตัดสินอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว พระที่ร่วมพิจารณาจะรื้อข้ออธิกรณ์ขึ้นมาพิจารณาใหม่ไม่ได้ คัดค้านในภายหลังก็ไม่ได้ หรือถ้ามอบฉันทะให้พระรูปอื่นดำเนินการแทน แล้วตนไม่พอใจผลการตัดสินนั้น มาตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งสองประการนี้
เป็นการละเมิด พระธรรม วินัย
ต้องปาจิตตีย์ ดังนั้น จึงต้องครวจสอบให้รอบคอบตามหลักปฏิบัติจริงๆ ต้องถือเป็นยุติไม่สามารถรื้อฟื้นได้อีก
นายแสวงกล่าวด้วยว่า ทุกสังคมต้องมีบรรทัดฐานในการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์กฎหมาย และหลักพระธรรมวินัย ที่พูดมานี้ ไม่ได้เข้าข้างวัดไหนทั้งนั้น
ไม่ว่าจะธรรมกาย
หรือไม่ก็ตาม หลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็เคยโดนในลักษณะเดียวกันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับวัดพระธรรมกาย มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง กรมการศาสนาต้องทำตามคณะสงฆ์ เป็นผู้สนองงาน ไม่ใช่มาสั่งสงฆ์ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีหน้าที่ และเรื่องนิคหกรรมธรรมกายนี้ เรื่องได้สรุปเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2541 ที่พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ให้วัดพระธรรมกายรับข้อแนะนำของคณะกรรมการมหาเถรสมาคม 4 ข้อ ไปปฏิบัติ และได้ตั้งกรรมการติดตามให้มีการแก้ไขตามมติมส.
เจ้าอาวาสก็เซ็นรับ และ
ปฏิบัติตามแล้ว
"ต่อมา ยังมีการเสนอประเด็นต่างๆ คือ 2 ครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 42 รัฐมนตรีอาคม เอ่งฉ้วน ตั้งประเด็นเพิ่มเติมให้กรมการศาสนาเสนอต่อมส. และ 5 มีนาคม 42
กรรมาธิการ การศาสนาฯ เสนอเรื่องเข้ามาอีก สรุปเป็น 3 เรื่อง มส. มีมติ 5 มีนาคม ให้พิจารณาเป็นเรื่องเดียวกัน ต่อมาเจ้าคณะภาค 1 ได้สรุปเรื่องผ่านเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
พิจารณาใน มส.อีก 2 ครั้ง คือ 11 และ 22 มีนาคม ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธาน สรุปมีมติเห็นชอบ ยืนตามการชี้ขาดของเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เซ็นรับ คำสั่ง
เป็นการถูกต้อง เรียบร้อย และมีการปฏิบัติตาม มติมส. แล้วด้วย ดังนั้น ในแง่พระวินัยอธิกรณ์เรื่องกรณีธรรมกาย ถือว่าสิ้นสุดแล้ว ชอบแล้วทุกประการ
พระมหาเถระ ทั้งหลาย
เหล่านั้น ล้วนทรงธรรม ทรงวินัย พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วทั้งสิ้น"
นายแสวงกล่าวด้วยว่า ถ้ากรรมการมส.รูปใด ไปรื้อฟื้นขึ้นมาอีก จะหมิ่นเหม่ต่อโทษ ขีปนปาจิตตีย์ อยู่ในเล่ม 6 ของพระวินัยปิฎก สมถขันธกวรรค
อยู่ที่ว่าท่านจะรู้ร้อนรู้หนาว
กับอาบัติข้อนี้หรือไม่ ตนไม่เข้าใจว่า ใครมุ่งหมายอะไร เพราะยืนยันได้ว่า เรื่องดังกล่าวจบแล้ว ขนาดคนจบนิติศาสตร์ ถ้าไม่ได้เป็นทนายความ อาจารย์ อัยการ หรือผู้พิพากษา หรือ มีอาชีพเกี่ยวกับวิชาที่เรียนมา ก็ไม่อาจเข้าใจรอบรู้ถึงวิชา พระก็เช่นเดียวกัน ท่านไม่ได้เรียนเรื่องนี้ จะให้เข้าใจโดยถ่องแท้ก็คงยาก น่าเห็นใจท่านเหมือนกัน
นอกจากนี้ นายแสวงยังระบุด้วยว่า ต่อมาได้มีฆราวาสสองคน คือ นายมาณพ พลไพรินทร์ และนายสมพร เทพสิทธา กล่าวหาพระธัมมชโยอีก ซึ่งคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ได้มีคำสั่งยกฟ้อง ในวันที่ 12 สิงหาคม 42 และให้ถือเป็นอันสิ้นสุด เพราะโจทก์ขาดคุณสมบัติตามข้อ 4(8)
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างที่รอพระเทพกิตติปัญญาคุณ (พระกิตติวุฑโฒ) ซึ่งติดกิจนิมนต์นั้น นายวิโรจน์ ณ บางช้าง ประธานสภาสิ่งแวดล้อมแห่งเอเชีย และอดีตสส. ได้ลุกขึ้นมาอภิปรายปัญหาธรรมกาย และวิกฤติศาสนา โดยระบุว่า เวลานี้มีคนทำให้สงฆ์แตกแยกกันอย่างหนัก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 ถือเป็นอนันตริยกรรม ดังนั้น จึงขอให้อย่าหวั่นวิตก ต้องสู้กันต่อไป
พร้อมกันนี้ นายวิโรจน์ ยังกล่าวว่า ไม่ได้เป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย แต่ก็มีความเลื่อมใสในพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยบอกว่า เคยเห็นกับตามาแล้วว่า เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์จริงๆ
เมื่อพระเทพกิตติปัญญาคุณเดินทางมาถึง นายวิโรจน์จึงได้ยุติการอภิปราย หลังจากนั้น หลวงพ่อกิตติวุฑโฒ
ได้กล่าวสัมมนาโดยยกพระบรมราโชวาท
ของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว มาแสดงต่อที่ประชุม โดยย้ำว่า พระองค์ทรงต้องการให้คนไทยมีไมตรีจิตต่อกัน มีความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน ทั้งด้วยกาย วาจา ใจ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน หลักใหญ่อยู่ในผาสุกวิหารธรรม และพรหมวิหารธรรม ซึ่งประกอบด้วยอีก 3 ข้อต่อมา คือ ต้องเอื้อเฟื้อต่อกัน มีศีลเสมอกันและมีทิฏฐิเสมอกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ กำลังขาดแคลน แม้แต่ในหมู่สงฆ์ด้วยกันเอง ปัญหาต่างๆ จึงเกิดขึ้นตามมา
"เราจึงควรเริ่มต้นที่ครอบครัว สร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง เหมือนกับภาษิตคนโบราณ ว่าเอาไว้ พ่อเป็นประมุขของบ้าน สมภารเป็นประมุขของวัด กษัตริย์ เป็นประมุขของแผ่นดิน"
พระเทพกิตติปัญญาคุณกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีภัยต่างๆ มาเบียดเบียนผู้คนสารพัด แม้แต่ศาสนาก็มีภัย ขนาดพระครูจำรูญ ปานจันท์ เจ้าอาวาสวัดถ้ำกระบอก
ที่ทำความดี มาโดยตลอด ได้รับรางวัลทางสังคมมากมาย เก็บขยะสังคมเอามารีไซเคิล จนได้รับ รางวัลแม็กไซไซ จากต่างประเทศ แต่ถูกคนไทยด้วยกันโดยเฉพาะสื่อมวลชน โจมตีเสียเละ จนต้องตรอมใจตาย อย่างไรก็ตาม ยังนับว่า โชคดีที่ยังมีคนกลุ่มใหญ่ เห็นคุณค่าของศาสนา ช่วยกันทำให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนในอดีต