Home
ยา
ผู้หญิง
เด็ก
เครื่องสำอางค์
ปฐมพยาบาล
โรคทั่วไป
สาระที่น่าสนใจ
สอบถามปัญหา
ติชม หรือสอบถามได้ที่นี่ครับ ชื่อ email ติชม เรื่องที่อยากสอบถาม
ผู้ค้นพบไวรัส โดยนายแพทย์ชาวสก็อตแลนด์ ชื่อ Robert Buist ในขณะที่เขากำลังส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์ผิวหนังที่ขูดมาจากรอยโรคฝีดาษ โดยเขาเห็นเป็นผงเล็กๆซึ่งไม่พบในเซลล์ปกติ ซึ่งขณะนั้นเขาจึงเรียกว่า "Inclusion Bodies" ไวรัสมีชีวิตหรือไม่ ? เป็นคำถามที่ตอบได้ยาก เนื่องจากไวรัสมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ส่วนเดียว นั่นคือ DNA หรือ RNA เท่านั้นที่พอจะบอกได้ว่ามีชีวิต แต่ส่วนประกอบสำคัญอื่น เช่น Ribosome, Cytoplasm, Mitochondria ฯลฯ ไม่มีเลย ในการแพร่พันธุ์ของไวรัสก็ต้องอาศัยองค์ประกอบข้างต้นของเซลล์ที่ไวรัสไปอาศัยอยู่ในการสร้างไวรัสตัวใหม่ ดังนั้นจึงอาจเรียกว่าไวรัสเป็น เครื่องจักรชีวะ ( Biological Machine ) ไวรัสขนาดเท่าไร ? แต่ละชนิดมีขนาดที่แตกต่างกันตั้งแต่ 10 - 200 มิลลิไมครอน เล็กขนาดที่ว่าไม่สามารถมองได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ จำเป็นต้องใช้กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน เนื่องจากกล้องจุลทรรศน์ธรรมดาใช้แสงที่คนเรามองเห็นและเลนส์ในการขยาย แต่เนื่องจากไวรัสมีขนาดเล็กกว่าความยาวคลื่นของแสงจึงไม่สามารถขยายได้ ไวรัสมีรูปร่างอย่างไร ? มีหลายรูปทรง เช่น แท่ง กลม สี่เหลี่ยม ผลึก ลูกอ็อด เส้นใย
โดยนายแพทย์ชาวสก็อตแลนด์ ชื่อ Robert Buist ในขณะที่เขากำลังส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์ผิวหนังที่ขูดมาจากรอยโรคฝีดาษ โดยเขาเห็นเป็นผงเล็กๆซึ่งไม่พบในเซลล์ปกติ ซึ่งขณะนั้นเขาจึงเรียกว่า "Inclusion Bodies"
เป็นคำถามที่ตอบได้ยาก เนื่องจากไวรัสมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ส่วนเดียว นั่นคือ DNA หรือ RNA เท่านั้นที่พอจะบอกได้ว่ามีชีวิต แต่ส่วนประกอบสำคัญอื่น เช่น Ribosome, Cytoplasm, Mitochondria ฯลฯ ไม่มีเลย ในการแพร่พันธุ์ของไวรัสก็ต้องอาศัยองค์ประกอบข้างต้นของเซลล์ที่ไวรัสไปอาศัยอยู่ในการสร้างไวรัสตัวใหม่ ดังนั้นจึงอาจเรียกว่าไวรัสเป็น เครื่องจักรชีวะ ( Biological Machine )
แต่ละชนิดมีขนาดที่แตกต่างกันตั้งแต่ 10 - 200 มิลลิไมครอน เล็กขนาดที่ว่าไม่สามารถมองได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ จำเป็นต้องใช้กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน เนื่องจากกล้องจุลทรรศน์ธรรมดาใช้แสงที่คนเรามองเห็นและเลนส์ในการขยาย แต่เนื่องจากไวรัสมีขนาดเล็กกว่าความยาวคลื่นของแสงจึงไม่สามารถขยายได้
มีหลายรูปทรง เช่น แท่ง กลม สี่เหลี่ยม ผลึก ลูกอ็อด เส้นใย
ส่วนประกอบของไวรัส Capsid เปรียบเหมือนกับส่วนสมองของไวรัส โดยมีชั้นโปรตีนห่อหุ้มส่วนภายในที่ประกอบด้วยส่วนที่ละเอียดซับซ้อนที่เรียกว่า Nucleic Acid (DNA/RNA) ซึ่งเป็นหน่วยเก็บรหัสทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต Body คล้ายท่อลำเลียง ซึ่งจะเป็นทางลำเลียงหน่วยพันธุกรรมจากส่วนหัว เข้าสู่เซลล์ที่ถูกติดเชื้อ Tail คล้ายขาแมงมุมที่ทำหน้าที่ยึดเกาะกับเซลล์ที่ถูกติดเชื้อ การบุกรุกเข้าสู่เซลล์ ระยะที่ 1 ส่วนขาที่เหมือนขาแมงมุมจับที่ผนังเซลล์ซึ่งเรียกว่า Host Cell ระยะที่ 2 ส่วนตัวจะแทงเข้าสู่เซลล์ ระยะที่ 3 ส่วนพันธุกรรม DNA หรือ RNA ถูกฉีดเข้าสู่เซลล์ ระยะที่ 4 ภายในเซลล์จะมีการสังเคราะห์โปรตีน จำลองหน่วยพันธุกรรมของไวรัสขึ้นมาเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว คือ ประมาณ 100 ตัวภายใน 10 นาที หลังจากนั้นเซลล์ก็จะแตก ไวรัสทั้งหมดก็จะแพร่กระจายออกไปติดเซลล์ใหม่ต่อไปอย่างรวดเร็ว โดยสามารถทำลายเซลล์ได้ถึงพันล้านเซลล์ภายในไม่กี่ชั่วโมง
Capsid เปรียบเหมือนกับส่วนสมองของไวรัส โดยมีชั้นโปรตีนห่อหุ้มส่วนภายในที่ประกอบด้วยส่วนที่ละเอียดซับซ้อนที่เรียกว่า Nucleic Acid (DNA/RNA) ซึ่งเป็นหน่วยเก็บรหัสทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต Body คล้ายท่อลำเลียง ซึ่งจะเป็นทางลำเลียงหน่วยพันธุกรรมจากส่วนหัว เข้าสู่เซลล์ที่ถูกติดเชื้อ Tail คล้ายขาแมงมุมที่ทำหน้าที่ยึดเกาะกับเซลล์ที่ถูกติดเชื้อ
เปรียบเหมือนกับส่วนสมองของไวรัส โดยมีชั้นโปรตีนห่อหุ้มส่วนภายในที่ประกอบด้วยส่วนที่ละเอียดซับซ้อนที่เรียกว่า Nucleic Acid (DNA/RNA) ซึ่งเป็นหน่วยเก็บรหัสทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
คล้ายท่อลำเลียง ซึ่งจะเป็นทางลำเลียงหน่วยพันธุกรรมจากส่วนหัว เข้าสู่เซลล์ที่ถูกติดเชื้อ
คล้ายขาแมงมุมที่ทำหน้าที่ยึดเกาะกับเซลล์ที่ถูกติดเชื้อ
ระยะที่ 1 ส่วนขาที่เหมือนขาแมงมุมจับที่ผนังเซลล์ซึ่งเรียกว่า Host Cell ระยะที่ 2 ส่วนตัวจะแทงเข้าสู่เซลล์ ระยะที่ 3 ส่วนพันธุกรรม DNA หรือ RNA ถูกฉีดเข้าสู่เซลล์ ระยะที่ 4 ภายในเซลล์จะมีการสังเคราะห์โปรตีน จำลองหน่วยพันธุกรรมของไวรัสขึ้นมาเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว คือ ประมาณ 100 ตัวภายใน 10 นาที หลังจากนั้นเซลล์ก็จะแตก ไวรัสทั้งหมดก็จะแพร่กระจายออกไปติดเซลล์ใหม่ต่อไปอย่างรวดเร็ว โดยสามารถทำลายเซลล์ได้ถึงพันล้านเซลล์ภายในไม่กี่ชั่วโมง
ส่วนขาที่เหมือนขาแมงมุมจับที่ผนังเซลล์ซึ่งเรียกว่า Host Cell
ส่วนตัวจะแทงเข้าสู่เซลล์
ส่วนพันธุกรรม DNA หรือ RNA ถูกฉีดเข้าสู่เซลล์
ภายในเซลล์จะมีการสังเคราะห์โปรตีน จำลองหน่วยพันธุกรรมของไวรัสขึ้นมาเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว คือ ประมาณ 100 ตัวภายใน 10 นาที หลังจากนั้นเซลล์ก็จะแตก ไวรัสทั้งหมดก็จะแพร่กระจายออกไปติดเซลล์ใหม่ต่อไปอย่างรวดเร็ว โดยสามารถทำลายเซลล์ได้ถึงพันล้านเซลล์ภายในไม่กี่ชั่วโมง
ขั้นที่ 1
ผิวหนัง และเยื่อบุผนังต่างๆทั้งทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ความเป็นกรดของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารฆ่าเชื้ออย่างดี
ขั้นที่ 2
เมื่อเชิ้อโรค ไวรัส สิ่งแปลกปลอมบุกรุกผ่านชั้นที่ 1 ได้ เม็ดเลือดขาวจะทำหน้าที่เหมือนทหาร ต่อสู้กับเชื้อต่างๆด้วยการจับกิน เมื่อจับกินจนได้ปริมาณหนึ่งก็จะตายไปพร้อมๆกัน กลายเป็นหนอง
ขั้นที่ 3
คือ Antibody ซึ่งสร้างมาจากเม็ดเลือดขาวบางจำพวก ถือเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้กับไวรัส โดยที่แอนตี้บอดี้ที่ร่างกายสร้างขึ้นจะมีความจำเพาะกับเชื้อไวรัสชนิดนั้นๆเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมคนเราจึงเป็น หัด คางทูม อีสุกอีใส อื่นๆ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งคนเราก็ฉลาดพอที่จะผลิตวัคซีนขึ้นมาโดยทำจากเชื้อโรคที่ถูกทำให้หมดพิษหมดภัยแล้ว ฉีดเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ร่างกายรู้จักกับเชื้อโรคนั้นๆ ก็จะสร้างแอนตี้บอดี้ขึ้นมา ซึ่งก็จะยังคงมีอยู่ตลอดชีวิต
http://library.advanced.org/
ปรับปรุงล่าสุด29/09/44 เภสัชกร วิเชียร อัศวดากร