กลับหน้าแรก
Home
32 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก
Team for World cup
โปรแกรมการแข่งขัน
Program Worldcup
ผลการแข่งขัน
Report World cup
ตารางคะแนน รอบแรก
1st Round World cup
แผนผัง 16ทีม สุดท้าย
Plan 16 team World cup
ดาวซันโว
ข้อมูล สนามที่ใช้แข่งขัน
เวปบอร์ด
โหวตทีมแชมป์
 
้้้่่่่่
  กำเนิดเกมลูกหนังโลก
หากจะพูดถึงกีฬาฟุตบอล หลายคนอาจจะรู้ดีว่าเป็นกีฬาที่คนทั่วโลกนิยมชมชอบกันมากที่สุด แต่ถ้าจะมองย้อนกลับไป คงจะมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้ว ต้นกำเนิดของฟุตบอลไม่ได้เริ่มขึ้น เพียงแค่ 100 -200 ปีที่ผ่านมา

จริงๆ แล้ว ฟุตบอลเริ่มแพร่หลายและนิยมเล่นกันมากว่า 2,000 ปีมาแล้ว โดยแรกเริ่มมีการค้นพบว่าในราชวงศ์ ฮั่น ของจีน ช่วง 200 -300 ปีก่อนคริสตกาล มีการเล่นฟุตบอลกันแล้ว แต่ในครั้งนั้น ขุนนาง รวมทั้งประชา ชนทั้งหลายจะนิยมเล่นกันเพื่อเป็นการออกกำลังกาย เสริมสร้างความแข็งแกร่ง โชว์ทักษะความสามารถเฉพาะตัว

หากจะพูดถึงกีฬาฟุตบอล หลายคนอาจจะรู้ดีว่าเป็นกีฬาที่คนทั่วโลกนิยมชมชอบกันมากที่สุด แต่ถ้าจะมองย้อนกลับไป คงจะมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้ว ต้นกำเนิดของฟุตบอลไม่ได้เริ่มขึ้น เพียงแค่ 100 -200 ปีที่ผ่านมา

จริงๆ แล้ว ฟุตบอลเริ่มแพร่หลายและนิยมเล่นกันมากว่า 2,000 ปีมาแล้ว โดยแรกเริ่มมีการค้นพบว่าในราชวงศ์ ฮั่น ของจีน ช่วง 200 -300 ปีก่อนคริสตกาล มีการเล่นฟุตบอลกันแล้ว แต่ในครั้งนั้น ขุนนาง รวมทั้งประชาชนทั้งหลายจะนิยมเล่นกันเพื่อเป็นการออกกำลังกาย เสริมสร้างความแข็งแกร่ง โชว์ทักษะความสามารถเฉพาะตัว ไม่มีการเข้าปะทะกัน โดยมีการนำขนนกมาเย็บติดกับหนังสัตว์ แล้วใช้เท้าเตะบอลขนนกนี้ให้สูง 30 -40 เซนติเมตร ข้ามไม้ไผ่ที่คั่นกลางระหว่างผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย ใครสามารถทำให้อีกฝ่ายรับบอลขนนกไม่ได้ ก็จะเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งการเล่นแบบนี้ ต้องอาศัยคนที่มีทักษะ ปฏิภาณ - ไหวพริบที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากไม่อนุญาตให้ใช้มือตีบอลขนนก แต่จะอนุญาตให้ใช้ ไหล่, หน้าอก, เข่า,เท้า และ ศีรษะ เดาะหรือเตะเจ้าบอลขนนกเท่านั้น

จากนั้นอีก 500 - 600 ปีต่อมา ที่ประเทศญี่ปุ่นจึงมีการเล่น ที่เรียกว่า "คามารี่" และมีการพัฒนาการนำหนังสัตว์มาทำเป็นลูกบอล แต่ว่าทำให้มันกลมขึ้น แตกต่างจากสมัยราชวงศ์ ฮั่น มีการเล่นที่เป็นแบบแผนและสง่างามมากขึ้น แม้แต่ในราชสำนักยังนิยมเล่นกันในงานราชพิธีต่างๆ ซึ่งวิธีการเล่นก็ง่ายๆ โดยมีข้อแม้ห้ามใช้แขน แต่ให้ใช้เท้า, ขา, หน้าอก, เข่า รวมทั้งศีรษะ เดาะบอล ภายในเขตกำหนด แล้วส่งบอลต่อไปให้ผู้เล่นคนอื่น ใครที่ทำบอลหล่นตกลงสู่พื้นถือว่าแพ้ เกมนี้เป็นที่นิยมกันมาก จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้ที่นิยมเล่นกันในประเทศญี่ปุ่น

ส่วนในทวีปยุโรป กีฟาฟุตบอลที่ว่านี้ ก็เริ่มนิยมเล่นกันตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันโบราณ โดย กรีก จะเรียกว่า "อีปิสกายรอส" ขณะที่ โรมัน จะเรียกว่า "ฮาร์ปุสตัม" ซึ่งการเล่นจะแบ่งเป็น 2 ฝ่ายในพื้นที่สี่เหลี่ยม มีเส้นแบ่งกึ่งกลางสนามและเส้นเขตแดน โดยผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องพยายามแย่งลูกฟุตบอลเล็กๆ แล้วใช้มือส่งบอล พาไปยังเขตแดนฝั่งตรงข้ามจนทำประตูให้ได้ ซึ่งการเล่น"อีปิสกายรอส" หรือ "ฮาร์ปุสตัม" ค่อนข้างจะไม่มีกฏเกณฑ์อะไรมาก สามารถเข้าไปอัด, กระแทก หรือ ชก คู่ต่อสู้ที่ถือบอล เพื่อพยายามแย่งบอลมาให้ได้ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย

สำหรับกีฬาฟุตบอลสมัยใหม่ ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างคล้ายกับในปัจจุบันนี้ เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ที่ประเทศอังกฤษ จนในปี 1846 สมัยสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จึงเริ่มกำหนดกฏข้อบังคับ เรียกว่า "กติกาเคมบริดจ์" มีการแบ่งคู่แข่งออกเป็น 2 ทีม อนุญาตให้ใช้ทุกสรีระของร่างกายเล่นฟุตบอลได้ ยกเว้นมือเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งได้รับความนิยมอย่างสูงแพร่หลายไปทั่วโลก และจากความนิยมนี้เอง ในปี 1902 เคานต์ ฟาน เดอ สเตร์ต็อง ปูตัว จึงได้ปรึกษาหารือกับ คอร์เรเลียส เฮิร์ชมันน์ นายธนาคารชาวดัตช์ เพื่ออยากจะจัดเกมการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าชาติใดมีลีลาการเล่นที่เป็น 1 ในโลก

แต่หลังจากที่ เคานต์ ฟาน เดอ สเตร์ต็อง ปูตัว กับ คอร์เรเลียส เฮิร์ชมันน์ ได้ส่งเรื่องนี้ไปให้ เฟรเดริค วอลล์ เลขาธิการสมาคมฟุตบอลของ อังกฤษ พิจารณาเพื่อขอความร่วมมือ ทว่าความคิดนี้ก็ต้องล้มเลิกลง เพราะ วอลล์ ไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตามในปี 1904 ก็นับว่าโชคยังดีที่องค์กรลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ของโลก อย่างสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) สามารถก่อตั้งขึ้นได้ โดยมี โรแบร์ กูริน เป็นประธานคนแรก จุดมุ่งหมายก็เพื่อ อยากจะจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกให้ได้

และความพยายามของฟีฟ่าก็ต้องรอเกือบ 30 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ เมื่อ จูลส์ ริเมต์ ประธานฟีฟ่าชาวฝรั่งเศส ซึ่งรับตำแหน่งเป็นคนที่ 3 ในปี 1921 ได้ร่วมมือกับ อองรี เดอ โลเนย์ ประธานลูกหนังของเมืองน้ำหอม ผลักดันให้มีการลงมติชนะ 25 เสียง ต่อ 5 ให้ประเทศอุรุกวัยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก เป็นครั้งแรก แม้จะมีการคัดค้านจากหลายชาติในทวีปยุโรป ที่เห็นว่าการเดินทางไปทวีปอเมริกาใต้ค่อนข้างใช้ระยะเวลานาน รวมทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาลก็ตาม

ฟุตบอลโลกจึงได้ถือกำเนิดเป็นครั้งแรก ที่ประเทศอุรุกวัย ในปี 1930 ด้วยข้ออ้างที่ว่า อุรุกวัย เป็นเจ้าของแชมป์ในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2 สมัย และยังสามารถออกค่าใช้จ่ายให้กับทุกทีมที่เดินทางมาแข่งขันได้ ทำให้กีฬาลูกหนังที่มีอายุยืนยาวมานานหลายพันปีอุบัติขึ้นอย่างเป็นทางการ ให้ทุกชาติทั่วโลกต่างไขว่คว้าหาความสำเร็จตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้น

  ถ้วยรางวัล World Cup

ถ้วยรางวัลใบที่ว่านี้ คือเป้าหมายของ 32 เดน ตายที่มีกำหนดทำสงครามบนสนามหญ้าเพื่อช่วงชิงมาครอบครองให้จงได้ ในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ ญี่ปุ่น และ เกาหลี ช่วงกลางปีนี้ เราควรมาทำความรู้จักกับมันกันสักหน่อย "ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่" คือชื่อในเวอร์ชั่นเต็มของถ้วยรางวัลนี้
ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่ ถูกทำขึ้นจากทองคำ 18 กะรัตที่ส่องประกายเจิดจ้า ขณะที่เรื่องสัดส่วนสรีระของ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่ นั้นวัดมาแล้วได้ความว่า สูง 36 เซนติเมตร และน้ำหนักอยู่ที่ 4,970 กรัมพอดิบพอดี ตรงฐานของ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่ มีการประดับด้วย มาลาไคต์ ซึ่งเป็นหินชนิดหนึ่ง ถึง 2 ชั้นเลยทีเดียว และยังมีการเว้นช่องเล็กๆไว้ 17 ช่องเพื่อสลักชื่อทีมแชมป์ที่เคยได้ถ้วยใบนี้ไปครอบครองเอาไว้ด้วย ทั้งนี้ ช่องเล็กๆที่ว่า สามารถรองรับการสลักชื่อทีมแชมป์โลกไว้กระทั่งปี 2083 โน่นเลยทีเดียว ไม่ต้องกลัวจะหมดพื้นที่ง่ายๆ

จากส่วนสัดและวัตถุดิบของเจ้า ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่ แล้ว สามารถบอกได้เลยว่า นี่คือถ้วยรางวัลที่ล้ำค่าที่สุดในหมู่ถ้วยรางวัลด้วยกัน ง่ายๆเลยก็คือ แพงกว่าทุกถ้วยรางวัลที่มีอยู่ในโลกนั่นแหละ แต่สำหรับ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่ นี้ จะไม่มีทีมไหนที่ได้ครอบครองมันเป็นการถาวรเหมือนอย่างที่ บราซิล ได้ ชูลส์ ริเมต์ ไปเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดกาลอีกต่อไปแล้ว

สหพันธ์ลูกหนังนานาชาติต่างหากที่จะเป็นเจ้าของโทรฟี่อันน่าปรารถนานี้อย่างถาวร ขณะที่ทีมที่สามารถคว้าแชมป์โลกไปครองได้ ก็จะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่ กระทั่งทัวร์นาเมนต์ต่อไปเท่านั้น โดยต้องมอบถ้วยคืนให้ทาง ฟีฟ่า เพื่อที่จะเอาไปให้มอบเป็นรางวัลให้แชมป์โลกรายใหม่ ฟีฟ่า ไม่ได้ใจร้ายหรอก พวกเขาจะเอาถ้วยที่ทำจำลองจากของจริงขึ้นมามอบให้กับทีมแชมป์เก่าไปเก็บไว้เป็นที่ระลึกแทน

  ทำเนียบแชมป์โลก
ครั้งที่ ปี เจ้าภาพ คู่ชิง แชมป์
1 1930
 อุรุกวัย
 อาร์เจนตินา
 อุรุกวัย
2 1934
 อิตาลี
 เชโกสโลวะเกีย
 อิตาลี
3 1938
 ฝรั่งเศส
 ฮังการี
 อิตาลี
4 1950
 บราซิล
 บราซิล
 อุรุกวัย
5 1954
 สวิตเซอร์แลนด์
 ฮังการี
 เยอรมันตะวันตก
6 1958
 สวีเดน
 สวีเดน
 บราซิล
7 1962
 ชิลี
 เชโกสโลวะเกีย
 บราซิล
8 1966
 อังกฤษ
 เยอรมันตะวันตก
 อังกฤษ
9 1970
 เม็กซิโก
 อิตาลี
 บราซิล
10 1974
 เยอรมันตะวันตก
 ฮอลแลนด์
 เยอรมันตะวันตก
11 1978
 อาร์เจนตินา
 ฮอลแลนด์
 อาร์เจนตินา
12 1982
 สเปน
 เยอรมันตะวันตก
 อิตาลี
13 1986
 เม็กซิโก
 เยอรมันตะวันตก
 อาร์เจนตินา
14 1990
 อิตาลี
 อาร์เจนตินา
 เยอรมัน
15 1994
 สหรัฐอเมริกา
 อิตาลี
 บราซิล
16 1998
 ฝรั่งเศส
 บราซิล
 ฝรั่งเศส
  การแข่งขันฟุตบอลโลก 2002
1930 : อุรุกวัย
ปฐมฤกษ์ฟุตบอลโลกในอุรุกวัย
1934 : อิตาลี
ฟุตบอลโลกบนดินแดนมะกะโรนี
1938 : ฝรั่งเศส
อิตาลี คว้าแชมป์โลก 2 สมัย
1950 : บราซิล
หยาดน้ำตาของชาวบราซิล
1954 : สวิตเซอร์แลนด์
ทีเด็ดฮังการี  อินทรีเหล็กแชมป์
1958 : สวีเดน
กำเนิด "ไข่มุกดำ" เปเล่
1962 : ชิลี
แซมบ้ายังไม่สิ้นมนต์ขลัง
1966 : อังกฤษ
ปีทองของอังกฤษ
1970 : เม็กซิโก
"แซมบ้า" ผงาดคว้าแชมป์โลกคำรบ 3
1974 : เยอรมันตะวันตก
อินทรีผงาด โลกรู้ซึ้งโททั่ลฟุตบอล
1978 : อาร์เจนติน่า
ถึงคราวฟ้า-ขาวครองโลก
1982 : สเปน
เปาโล รอสซี่ ผู้พิชิต
1986 : เม็กซิโก
มาราโดน่า พระเจ้าและซาตาน
1990 : อิตาลี
"อินทรีเหล็ก" คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3
1994 : สหรัฐอเมริกา
มนต์แข้งแซมบ้า... แชมป์โลก 4 สมัย
1998 : ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสและซีดาน
Webmaster © sirodomb@hotmail.com
top