Pskull8.jpg (47110 bytes)

 

 

Blife&death1.jpg (14272 bytes)

นศ.ทันตแพทย์ : มาฟังตั้งแต่ครั้งแรกๆ และก็ไม่เคยมีหัวข้อไหนที่คิดจะพูดเพราะว่ามันไม่รู้จะพูดอะไร เราไม่เคยเรียนเรื่องเศรษฐศาสตร์จก็ไม่รู้เรื่อง อะไรก็ไม่รู้เรื่อง กเลย็นั่งฟังอย่างเดียว. วันนี้อาจารย์จะได้ดีใจเพราะว่าหนูจะพูดแล้ว จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเคยเฉียดตายหรืออะไร? แต่รู้สึกว่าตั้งแต่เห็นโปร์ชัวร์เรื่อง"ความสุข"มา ก็ตั้งตาว่าจะรอหัวข้อนี้. เพราะมีคำว่า"ความตาย" แอบดีใจว่าทุกคนคุยอย่างตั้งอกตั้งใจคุยกัน เท่าที่ฟังมาประมาณ 2 ชั่วโมงรู้สึกว่าทุกคนในที่นี้ต่างกลัวความตาย. แต่จะบอกว่ามีนั่งอยู่ตรงนี้คนหนึ่งที่ไม่ได้กลัวและก็รอเมื่อไหร่วันนั้นมันจะมาถึง ก็ถามว่าทำไมสำหรับตัวเองมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันมีแต่ความทุกข์ รู้สึกอยู่ตลอดเวลาโอเค มันไม่ใช่ไม่มีความสุขเลย แต่แบบเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ค่ะ แล้วจะแบบว่าวันๆ จะนั่งรอว่าวันนี้คนไข้จะมาไหม ฉันจะทำงานได้ไหม? จะถูกอาจารย์ด่าไหม คือนาทีที่คนไข้มาจะมีความสุขมาก. มาแล้วจะได้ทำงานแล้ว. เราต้องทำงานอีกแล้ว เป็นคนที่ไม่มีฝีมือเลย จะทำงานแบบคือมันก็ทำได้ตามทฤษฎี แต่จะให้มันดูสวยงาม หรือเป็นศิลปินศิลปะนี้ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเลย แล้วงานก็จะออกมาน่าเกลียดและจะแบบนั่งเป็นทุกข์อีกแล้ว แต่ถ้าวันไหนที่ทำแล้วไม่ต้องใช้ศิลปะ อย่างรักษารากฟัน เราจะใช้แต่ทฤษฎีอะไรอย่างนี้ก็จะทำได้ แล้วทำวันนี้โอเค งานออกมาตามเป้าหมายก็จะมีความสุข แต่เสร็จแล้ว เดี๋ยวถ้ากลับไปแล้วแบบมีอะไรสักนิดที่มาสะกิดใจ มันก็จะกลายเป็นความทุกข์อีกแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าทำไมชีวิตมันมีแต่ความทุกข์

คือมันก็โอเคสุขแต่สุขมันจะแบบแป๊บเดียว แต่ทุกข์นี้มันยาวนานมาก เราเกิดมีความรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะตายสักที ไม่งั้นมันจะมีข่าวที่แบบว่า, พวกฆ่าตัวตาย กระโดดตึกตายอะไรแบบนี้ ทำไมเขาคิดว่าตรงนั้นมันเป็นความสุขหรือเปล่า บางทีเรามีความรู้สึกว่าตายไปแล้วอาจจะมีความสุขก็ได้ คือส่วนหนึ่งตัวเองเป็นคริสต์ และมีความรู้สึกถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆว่า โลกหน้ามีจริง แต่ก่อนเชื่อมากว่าโลกหน้ามีจริง จะไปสวรรค์นิรันดร์อะไรอย่างนี้ พอโตขึ้นมาเราจะเริ่มมีแนวคิดอะไรหลายๆอย่าง และก็มีอะไรเข้ามาเยอะเราจะเริ่มถามตัวเองว่า จริงหรือ แต่ไม่เคยเชื่อว่าคนเราตายไปแล้ว จะไปเกิดใหม่ บอกเลยว่าตัวเองไม่เชื่อ. แต่คนที่เป็นคริสต์(ก็ไม่คริสต์เต็มร้อยก็แล้วกัน) ก็แบบสนใจอะไรอย่างนี้ ก็สงสัยว่าที่ตัวเองไม่กลัวตาย อาจจะเป็นเพราะว่าเรามีพื้นฐานตรงนี้หรือเปล่าว่าเราเชื่อในโลกหน้า แล้วแบบคนแก่ที่เขา... พอดีเมื่อครู่อาจารย์เล็กพูดขึ้นมาว่า แบบคนที่อายุมากขึ้น ยิ่งไม่กลัวตายหรือว่าเราจะเริ่มแก่ ถึงไม่กลัวตาย.

ชอบอยู่อันหนึ่งก็คือว่าที่เขาบอกว่า จริงๆแล้วคนเรามันว่าง แล้วเมื่อวันวลาผ่านไปก็ได้รับเอาประสบการณ์ใส่เข้ามา ยิ่งผ่านไปยิ่งมีประสบการณ์มาก หรือว่าเราไม่มีประสบการณ์มันก็เลยอยากได้ประสบการณ์ นั่งอยู่ตรงนี้และถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาที่ทุกคนคุยกัน 2 ชั่วโมงไม่กลัวจริง ๆ หรือว่าคิดไปเองว่าไม่กลัวอะไรอย่างนี้ คือมีความรู้สึกว่าไม่ คืออาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่เคยไปถึงตรงนั้นก็ได้ ก็เลยไม่เห็นจะกลัว. แล้วเราแบบไม่เคยคิดถึงตรงนี้หรือเปล่า ไม่ใช่คืออยากไปถึงตรงนั้น อยากรู้ว่าตรงนั้นมันเป็นอะไรมันเป็นยังไงอะไรอย่างนี้ สนใจเสมอเวลาแบบว่ามีพวกข่าวที่บอกว่าตายแล้วฟื้นมาเล่ามันจะมีจริงหรือ ก็เลยอยากจะเสนอความคิดหนึ่งตรงนี้ว่ามีคนหนึ่งที่ไม่กลัวความตาย วารุณี : ดิฉันเห็นด้วยและพอดีก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกันว่า คือดิฉันก็สังเกตตัวเองว่าช่วงไหนที่ทุกข์มาก ๆ ดิฉันจะไม่ค่อยกลัวตาย เวลาแบบมีความสุขมากๆ กลัว คือคล้ายกับว่าคิดว่าคนที่ฆ่าตัวตายเพราะว่าอกหักบ้าง เพราะอะไรบ้าง คิดว่าชีวิตที่เขามีอยู่มันทุกข์เกินไป ทุกข์จนรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรทุกข์มากไปกว่านี้อีกแล้วเพราะฉะนั้นชีวิตนี้ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นจะไม่มีวันที่จะทุกข์เท่ากับที่ทุกข์อยู่ เพราะฉะนั้นคิดว่าก็ทำให้คนฆ่าตัวตายได้ แต่ประเด็นของคุณ...ดิฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าคุณจะทุกข์อะไรได้ขนาดนั้นจริงหรือ แต่ว่าที่พูดอยากจะตั้งคำถามอันหนึ่งว่า ในขณะที่บางทีเราพูดถึงความตายแล้วเราไม่เคยผ่านความตาย บางทีเราก็ไม่แน่ใจว่าเป็นยังไง แต่ดิฉันคิดว่าเราจะสนใจไหม ที่เราจะพูดในประเด็นว่า แล้วท่าทีที่เราจะมีต่อคนที่เรารักและเราต้องสูญเสียเขาไป เราจะทำอย่างไรที่เราจะไม่เสียใจจนมากเกินไป หรือว่าเราจำเป็นต้องเสียใจไหม?   หรือเรามองการสูญเสียที่เรารักยังไง ซึ่งคิดว่าในชีวิตของเราในที่นี้เรามีคนที่เรารักทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ญาติหรืออะไรต่าง ๆ คิดว่าดิฉันสนใจที่จะคุยประเด็นนี้ ไม่ทราบว่าคนอื่นอยากจะคุยด้วยไหม?

ผู้เข้าร่วม(สมลักษณ์) : ฟังมา 2-3 อาทิตย์มันก็เป็นเรื่องหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องความสุข อาทิตย์นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับท่าทีต่อชีวิต. ในความคิดเห็นตอนนี้ อยากจะแสดงความคิดเห็นว่าที่เราคุยกันมา ส่วนใหญ่ก็เป็นเกี่ยวกับเรื่องความสุข ซึ่งความพอใจ การให้ความสำคัญหรือว่าการยอมรับ หรือว่าแบบทั้งของตนเองและของสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเรา อันนั้นเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้ และเราแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ซึ่งเรามองเห็นเราสัมผัส เรามีการวิจัย หรือว่าเรามีการจดบันทึกเอาไว้

แต่ตอนนี้วันนี้หัวข้อสุดท้ายที่เรากำลังคุยกันคือเรื่องความตาย. ความตายไม่ทราบว่าตอนนี้ใครมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องความตาย เพราะว่าประสบการณ์เกี่ยวกับความตายเราไม่สามารถที่จะไปทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องความตายว่าความตายมันเป็นยังไง และไม่สามารถที่จะเอากลับมาเล่าสู่กันฟังได้ มันเป็นอะไรที่เรามองไปไม่เห็นเราไม่รู้ แต่ทุกคนรู้อยู่อย่างหนึ่งว่าเราต้องเดินไปถึงจุดๆนั้น ก็อาจจะมีการสร้างความเชื่อหรือแบบอะไรก็แล้วแต่ที่แบบว่า ตายไปแล้วจะไปเจอสวรรค์ นรก ไปเจอความสุขหรือไปอะไร อันนั้นเป็นมุมมองหรือว่าเป็นอะไรที่ทุกคนที่พูดเป็นความเชื่อที่ฟังกันมา แต่ไม่สามารถพิสูจน์หรือทำการวิจัย ก็อยากจะเสนอว่า ถ้าใครอยากจะทำวิจัยให้ลองทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องความตายว่าได้ไหม?  

ผู้เข้าร่วม : ที่คนเมื่อครู่บอกว่าไม่มีใครประสบการณ์การตายแล้วกลับมาเล่าไม่ได้ผมว่าเรามีประสบการณ์การเกิดทุกคน แต่เราก็ยังคุยกันไม่ได้ว่าก่อนเกิดเราเป็นอะไร ผมว่านั่นคือคำตอบเกี่ยวกับความตาย คุณคุยกันถึงเรื่องของประสบการณ์การเกิดได้ไหม?   ก่อนจะมาเกิด ผมว่านี่คือคำตอบสำหรับผม เราคุยกันมันเป็นเรื่องของประสบการณ์ของแต่ละคนล้วนๆ และเป็นเรื่องของการใช้อารมณ์ที่มีต่อประสบการณ์ต่างกัน ผมว่าจริงๆ แล้วมันแทบจะไม่มีอยู่เลย. มันอาจจะเป็นช่วงต่อระหว่างก่อนที่เราเกิดหรือว่าเราเกิดแล้วเราตาย มันแทบจะไม่มีอยู่ ทุกอย่างมันเข้ามาเพียงแค่ว่ามีประสบการณ์เข้ามาคั่นแต่ละช่วง ทำให้เราตระหนักรู้ว่ามันมีอยู่ เราลองนอนหลับสัก 4-5 วัน เราก็จะไม่รู้ว่า 4-5 วันนั้นมีประสบการณ์อะไรเข้ามาใหม่ในชีวิตเรา เวลามันไม่มี มันมีอยู่เพราะว่าเรามีประสบการณ์แต่ละวันเข้ามาคั่นเรา มีการตระหนักรู้ ระลึกถึง ผมว่ามันไม่มีอะไร มันไม่ผิดที่เราจะกลัวมัน หรือว่าไม่ผิดที่เราจะไม่กลัว ถ้าเรารู้จักความตายจริง ๆ เราอาจจะกลัวมันก็ได้ อาจจะไม่กลัวมันก็ได ้อยู่ที่ประสบการณ์ของแต่ละคนที่จะแปลมันเกี่ยวกับความรู้ตรงนั้น ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่ากลัว

แต่ท่าทีที่เราควรจะมีความรู้เท่าทันมันเท่านั้นเองว่ามันไม่มีอยู่ มันเป็นแค่ประสบการณ์ที่เราจะแปลมันแล้วเราก็มี คือมีความสุขกับมันได ้และมีความทุกข์กับมันได้ คนเราร้องไห้ก็ได้ หัวเราะก็ได้ มันไม่เห็นมีอะไร มันก็เป็นชีวิตเพียงแค่รู้ตระหนัก จะฆ่าตัวตายก็ไม่ผิด จะอยู่อย่างมีความสุขก็อยู่ไป แต่อย่าไปรบกวนคนอื่น แต่ว่ามีสติเท่าที่ศักยภาพเราทำได้ในฐานะความเป็นมนุษย์ ผมว่าน่าจะพอการมีทาทีต่อการมีชีวิตของแต่ละคน

วัลลภ : ผมรู้สึกว่าเราจะมุ่งเรื่องเซ็กและเรื่องความตายมากเกินไป ผมว่าเรายังมีอีกข้อหนึ่ง 5.4 มุมมองของความสุขที่มองพ้นไปจากตัวของเราเอง บังเอิญผมคงอ้างจากหนังสือที่พอดีได้อ่านมา ฐานคิดของอาจารย์เสน่ห์ จามริก พูดถึงท่าทีชีวิตต่อขบวนชีวิตร่วมกัน ผมว่าน่าสนใจ คือผมก็อ่านนิดเดียว คือกระบวนชีวิตร่วมกันนั้นจะประกอบด้วยมนุษย์ สังคม ธรรมชาติ ตามหลักธรรมะนั้น เป็นสัจจะธรรม เป็นอากาลิโก คือความตอนหนึ่งของมหาวรรค ที่ว่า เมื่อรักษาผู้อื่นก็ชื่อว่ารักษาตนนั้นอย่างไร ด้วยขันติด้วยความมีเมตตาจิตด้วยความเอ็นดูกรุณา อย่างนี้แลเมื่อรักษาผู้อื่นก็ชื่อว่ารักษาตน ผมพูดไว้แค่นี้

เกรียงศักดิ์ : เห็นด้วยอย่างยิ่ง ประเด็นนี้ผมจะคุยกับอาจารย์ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดมาเมื่อครู่มันรู้สึกว่าเป็นพูดตรงไปตรงมาก็คือคิดแบบปัจเจกมากเลย อาจารย์คิดว่าอาจารย์จะตายก็ตายอยู่ก็อยู่มันเรื่องของฉันนี่ ผมคิดว่าความตายมันไม่ใช่มีมิติของฉันคนเดียว มันมีมิติทางสังคมด้วย เรามีความสัมพันธ์อยู่กับคนจำนวนมากมาย คนเขาก็ต้องเสียใจให้เรา เราก็ต้องเสียใจให้คนอื่น มันกลับไปที่เมื่อครู่อาจารย์วารุณีบอกว่า เราควรจะมีท่าทีอย่างไร ถ้าสมมุติว่าคนที่เรารักเสียชีวิต อาจารย์เสียใจไปเถอะครับ เพราะว่ารสชาติของความเสียใจตรงนั้น มันเป็นรสชาติที่อาจารย์น้อยครั้งมากเลยที่จะเกิดในชีวิต อาจารย์ร้องไห้ให้กับคนบางคนได้อย่างจริงๆเลย ไม่ใช่แสแสร้งระลึกถึงอะไรเขาบางอย่าง ผมเคยรู้สึกอย่างนั้นเมื่อพ่อผมเสีย ผมรู้สึกมาเลยว่าผมไม่ได้ทำอะไรให้พ่อผมเยอะแยะมากเลย ตอนที่พ่อผมมีชีวิตอยู่ ผมก็ทำผิดต่อพ่อผมเยอะแยะมากไปหมด และผมก็เรียนรู้ว่าผมจะไม่กระทำแบบนี้กับใครอีกต่อไป อะไรอย่างนี้

ผู้เข้าร่วม : ไม่รู้ว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่า คืออาจจะผ่านประสบการณ์คนที่เรารักและคนที่รักต้องตายไปในอีกแบบหนึ่ง เช่น พี่ชายที่เป็นมะเร็งทุกข์ทรมานมาหลายปี เรารู้สึกว่าเขาตายไปดีกว่า เพื่อที่เขาจะได้พ้นจากความทรมานเจ็บปวดอะไรก็แล้วแต่ ถ้าให้คิดตอนนี้คือมีความผิดปกติอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่ามันเป็นอะไร คือเคยคิดว่าอยากให้พ่อให้แม่ไม่อยู่ดีกว่า คือตัวเองเป็นคนที่มีพ่อแม่อายุยืนมาก และก็คิดว่ามันเหมือนสูญเสียอิสรภาพอะไรบางอย่าง ซึ่งแก่ปานนี้ก็ยังต้องคอยบอกเขา จะกลับกี่ทุ่มกี่ยาม และก็พอเกิน 2 ทุ่มตามที่บอกก็จะต้องโทรมา ตามมาหามาเป็นห่วงและเราก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาว่าเราทำให้เขาเป็นทุกข์ ทำให้เขาเป็นห่วงอะไรอยู่อย่างนี้

เคยพยายามขบคิดเรื่องนี้ให้จริงจัง พยายามจะคิดให้แตกว่าเราเป็นบ้าหรือว่ามีปมอะไรสักอย่างหรือเปล่า หรือว่าเราไม่รักพ่อไม่รักแม่หรือยังไง บางครั้งที่เห็นอาการเขาไม่มีความสุขกับลูกหลานไม่มีความสุขกับชีวิตมากนัก ก็จะรู้สึกว่าความจริงท่านอยู่โลกนี้มานานแล้ว สมควรที่จะจากไปแล้วหรือเปล่า คือคิดอย่างนี้ รู้สึกผิดขึ้นมาทุกครั้งที่คิดอย่างนี้ พอเมื่อครู่อาจารย์วารุณีโยนประเด็นขึ้นมา ก็เลยเจ็บแปล๊บเลยว่าสังสัยต้องพูดแล้ว เพื่อให้ความรู้สึกผิดนี้มันหลุดออกมาเสียที แต่ถ้าให้มานั่งคิดตอนนี้แล้วถ้าเขาเป็นอะไรไปจริงๆ แล้วชีวิตเคยมีญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดที่เสียไปเรื่อย ก็จะมีความรู้สึกวูบหนึ่งเหมือนสมัยหนึ่ง ซึ่งเคยทำแหวนเพชรหาย สมัยนั้นที่ยังหลงไหลกับวัตถุอยู่ ก็ไปล้างมือแล้วก็วางทิ้งไว้ในห้องน้ำสาธารณะเดินออกจากตึกไปแล้วนึกได้กลับเข้ามา ความรู้สึกมันเป็น...เข้าใจไหมค่ะ ความรู้สึกร้อน จากโคนเส้นผมจรดปลายเท้าเลย มันวูบหนึ่งแล้วก็หายไป ก็มีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเราจบมันหายไปมันไม่มีแล้ว

กำลังคิดอย่างนี้ว่าจะรู้สึกต่อความตายหรือว่าการจากไปของคนที่เรารักแบบนี้ คงจะเป็นวูบหนึ่ง ซึ่งมันอาจจะใช้เวลาสั้นหรือยาว นี้คงขึ้นอยู่กับว่าของที่เรารักนั้นมีความหมายมีความผูกพันกับเรายังไง?

เกรียงศักดิ์ : นิดเดียว, ความรู้สึกของเราที่มีต่อคนที่เรารักหรืออะไรตายไป มันจะช่วยทำให้เราเกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เรารู้สึกว่าตายมันเป็นของธรรมดา คนที่เรารักที่สุดยังตายได้เลย แล้วเราหละ สักวันก็ต้องตาย ความรู้สึกตรงนั้นมันเป็นความลึกซึ้งบางอย่าง... ผมก็ไม่รู้จะบรรยายยังไง? เพราะว่าเพื่อนผม เพื่อนรักมากๆเลยเพิ่งตายเมื่อ 5-6 เดือนที่แล้ว ผมยังนึกถึงเขาอยู่ทุกวัน แต่ผมมีความรู้สึกว่าผมกลัวตายน้อยลง อะไรทำนองนี้ครับ

Pdeath5.jpg (28912 bytes)

ผลงาน performance แสดงที่สุสานป่าแดง เชียงใหม่ มกราคม 1996 : ศิลปินหญิง Arahmaiani ชาวอินโดนีเซีย

เครือมาศ : คิดว่าเราเรียนรู้ได้อย่างมากเลย มีคนถามดิฉันเมื่อ 2-3 วันก่อน ที่เขานิยมบริจาคศพให้รพ. ถามว่าพี่จะบริจาคไหม? ผมจะบริจาคนะ.  ก็ดีที่บริจาค. อาจารย์ทานาเบ้มาถามว่า ทำไมในวังเขาเก็บน้ำเหลืองของพวกเจ้าเอาไว้ บอกว่ามีผู้รู้ท่านหนึ่งบอกว่า ถ้าน้ำเหลืองหลั่งออกมาจากร่างกายของคน แล้วเอาไปเก็บไว้ คนสมัยโบราณเขาจะชุบสำลีไว้, เขาอบ 2-3 วัน แล้วจะส่งมีกลิ่นหอมมากเลย อันนี้เราก็ไม่ได้เรียนรู้เหมือนกัน แต่มีคนมาบอก.   ทีนี้การที่คือเราห่างเหินไปมาก อย่างเช่นจะรู้สึกอย่างไรกับคนที่เรารัก สามี ภรรยา สมัยก่อนทางเหนือถ้าใครคนหนึ่งล้มป่วยลงในยามเฒ่าชรา ก่อนจะจากกันเขาให้มีประเพณีผ่าจ้าน เราลืมแล้วเดี๋ยวนี้ทางสันป่าตองยังทำอยู่ ทำตอนจะเผาศพ คือไม่ให้ตายตามกันไป ต้องเอาขันดอกไม้มาขันหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่อาจารย์อรุณ วิเชียรเขียว เล่าให้ฟัง เขาจะเอาพานมา และพ่อแม่นั่งกันแล้วก็ทำพิธีผ่าแยกดอกไม้ออกจากกัน เป็นประเพณีซึ่งน่ารักมาก ไม่ให้ตามกันไป ใจของเราผูกพันกันไป ให้คิดว่าตอนนี้เราลืมไปหมดแล้ว ระยะหลังเราก็ทำให้..มันอ่อนโยนกับชีวิตมากเลย

หรือสมัยก่อน สมมุติว่าถ้าแฟนเก่าตายไป (แฟนเก่าหมายถึง แฟนเก่าที่ไม่ได้แต่งงานกัน). ถ้าไปหาหมอ หมอจะบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นโรคที่เขาเรียกว่า"ผีป่วงเข้า"(โรคแฟนเก่า). แฟนเก่าคือแฟนที่ไม่ได้แต่งงานกัน อาจเป็นเพราะพ่อแม่ให้ไปแต่งงานกับคนอื่น ทำให้ไม่ได้อยู่กับคนรัก. หากแฟนเก่าตายไป ก็จะมีความเศร้าโศกเสียใจ เศร้าหมอง เขาจะทำพิธีให้ 7 วัน 7 คืน อันนี้ลึกซึ้งมาก. ทำวิจัยเรื่องนี้ถึงรู้ว่าแฟนเก่าตายแล้ว วิญญาณจะมาหลอกหลอน ความจริงก็คือการเสียใจ ทำพิธีให้ 7 วัน 7 คืน

ดิฉันคิดว่าทำไมความตายของคนไทยถึงเป็นสาธารณะ ดิฉันเข้าใจที่บอกว่าเรื่องส่วนตัวมันสามารถเป็นเรื่องส่วนรวมได้ ทำไมเราถึงมีพิธีแห่ศพ เพราะความตายในวัฒนธรรมไทยเป็นสาธารณะ ทางเหนือนี้ถ้าใครเป็นคนทางเหนือ ดิฉันเคยถูกสอนมาว่า ถ้าหากว่าวันไหนไปเจอศพให้ยกมือไหว้แล้วมีคนบอกว่าจะถูกหวย ซื้อหวยก็จะโชคดี เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่ากลัวมันจะเป็นเรื่องโชคดี ด้วยซ้ำไป. ไปเจอศพแล้วแห่กันรอบเมือง ทำไมในเชียงใหม่จราจรติดขัด เราต้องรักษาประเพณีเดิมอยู่ เรายังต้องแห่กันอยู่ ความตายไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นเรื่องที่ถูกประกาศออกมาให้เป็นเรื่องสาธารณะ

อุทิศ : ผมรู้สึกจะไม่ค่อยเห็นด้วย ผมจะรู้สึกว่าทำไมพวกเราหลอกตัวเอง คือผมมองจากตัวเองนะ เพราะว่าอะไร เพราะว่าผมเคยมี อันนี้ประเด็นก็คือ เรื่องความตายของคนรอบข้าง ผมเฝ้ามองตัวเอง. เพื่อนผมตายผมเฉยๆนะ เพราะว่าผมจะรู้สึกบอกกับตัวเองเพื่อนตายแล้วไม่ใช่กู ลึกๆจริงๆ ไม่ใช่กู อะไรอย่างนี้ แต่แน่นอนไปเยี่ยมเยียน ถามถึงทุกข์สุขอะไรต่างๆ ไปทำท่าเสียใจอะไรอย่างนี้ สำหรับผมมิติทางสังคมของผมคือ... ไม่ใช่เรื่องตลก มันจริงๆ อะไรอย่างนี้ ยายผมตายผมก็เฉยๆ อะไรอย่างนี้ ผมไม่เคยร้องไห้กับคนรอบข้างตายเลย แต่ผมเริ่มมีประสบการณ์ใหม่เรื่องว่าเกิดความรู้สึกอย่างที่อาจารย์ว่ากับพ่อตาผม อันนี้ยังไม่ตาย,   แค่รู้สึกเท่านั้นเองว่าเขาเป็นโรครุนแรงและใกล้ตาย ผมรู้สึกเจ็บเป็นทุกข์ขึ้นมาเลย และผมก็ถามตัวเองชีวิตผม ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้ ผมรู้สึกว่าชีวิตก็คือความเห็นแก่ตัวพูดตรงๆ ส่วนการเห็นส่วนรวม มิติทางสังคมในความรู้สึกของผมตลกทั้งนั้น เล่นเกมส์.   จริงๆมนุษย์มีความเห็นแก่ตัวเพื่อตัวเองทั้งนั้น.

ผมกลับมาที่ว่า ทำไมผมถึงเสียใจกับพ่อตา ผมมานั่งวิเคราะห์ตัวเองนะ เพราะอะไร? หนึ่งก็คือว่า เพราะมันเหมือนกับว่าผมอยู่ใกล้พ่อตา และมันมีความสุขมันเป็นอีโก้ของตัวเอง ตัวเองก็ยังเป็นจุดศูนย์กลางอยู่ดีนะ และไปสัมพันธ์กับคนๆนี้ และมันสะสมความสุขหลายๆเรื่อง เช่น คุยกันรู้เรื่อง เรื่องปัญญา แถมรวยด้วย ช่วยเรื่องเงินด้วยอะไรอย่างนี้ มันบุญคุณบวกบุคคลิกบวกอะไรต่าง ๆ นานา ผมรู้สึกเสียใจ ผมเข้าใจตัวเองว่าที่เสียใจนี่ไม่ใช่อะไร? เสียใจนี่มันมาจากพื้นฐานจากความเห็นแก่ตัวอยู่ดี เราจะเสียใจไม่เสียใจ ดิวกับเรา มีประโยชน์กับเรามาก เราเสียใจอะไรอย่างนี้ แต่ลึกๆ ก็ไม่ใช่กู ชีวิตผมผมอยู่ในภาวะที่ใกล้ตาย 3 ครั้ง ผมสังเกตตัวเองผมเคยเกือบป่วยตาย แต่ป่วยตายผมเข้าใจ เพราะว่ามันสติสัมปัญชัญะมันไม่ 100 % ไม่กลัวหรอก เพราะอะไรมันยังไม่รู้สึกตัวเองเลย มันรู้สึกลางๆ มัน 100 % เพราะฉะนั้นมันไม่กลัว

ครั้งที่สองผมชอบเป็นคนหลอกตัวเองเหมือนคนทั่วไปว่ากูไม่กลัวตาย กูมั่นใจตัวเอง เคยถูกวัยรุ่นด้วยกันตอนที่เป็นวัยรุ่นเอาปืนจี้หัว ฉี่ราดเลยตั้งแต่นั้นมาถึงรู้ตัวเองว่าเรากลัวตายอะไรอย่างนี้ ผมถึงบอกว่า ผมถึงบอกว่าผมเห็นด้วยกับอาจารย์ มิติทางสังคมสำหรับผมมันหลอกลวงทั้งนั้น และเรื่องที่ว่าเสียใจลึก ๆ หลอกลวงอีกเพื่อตัวเองทั้งนั้นอะไรอย่างนี้

วารุณี : ประเด็นมีคนเห็นด้วยกับอาจารย์มาก คืออ้างชื่อได้...  กฤษณะ มูรติ เขาก็พูดคล้ายอาจารย์เขาบอกว่าคุณลองดูซิว่าเวลาคุณเสียใจ เวลาใครตาย จริงๆแล้วคุณสงสารตัวเอง คุณไม่ได้คิดถึงคนตายหรอก เพราะว่าคนตายเขาก็ไปสบายแล้ว แต่หมายถึงว่าเวลาที่คุณร้องไห้คร่ำครวญ เพราะว่าคุณสงสารตัวเอง คุณรู้สึกว่าคุณกำลังสูญเสียสิ่งที่คุณมี อย่างเช่นคนที่เป็นสามีเป็นอะไรอย่างนี้ เราก็จะรู้สึกเราผูกพัน เราสูญเสียความอบอุ่นตรงนั้น เราสูญเสียคนรัก เพราะว่าเขาเอาอกเอาใจ เขามารักเรา เขาทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีค่า ต่อไปนี้จะไม่มีเขา คือจริงๆแล้ว เรา ดิฉันคิดว่าพอคิดแบบนี้ เราจะรู้ทันทีเลยว่าเรากำลังเห็นแก่ตัวอยู่อย่างที่อาจารย์อุทิศว่า ดิฉันคิดว่าอันนี้ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจ

ทพ.วิชัย : ขอใช้สิทธิ์ในการพูดจริงๆ แล้วเข้ามาตอนหลังคนละชั่วโมงก็เลยไม่รู้ว่าประเด็นช่วงก่อนหน้านี้ได้พูดถึงอะไร ไปยังไงบ้าง ตัวเองได้ยินพูดถึงเรื่องความตายๆอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเห็นหัวข้อว่ามันเป็นท่าทีต่อชีวิต ก็เลยความตายก็ความตาย จะขอตายด้วยคน คือรู้สึกว่า สิ่งที่ตัวเองคิดตลอดมาในประเด็นว่าด้วยเรื่องความตาย จริงๆแล้วมีความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เราหนีไม่ได้จริงๆ ก็คือว่า คนเราตายแล้วก็จะเน่าจะเหม็นอะไรมันก็เป็นไปตามวิถีธรรมชาติที่มันจะเป็น แต่ว่าสิ่งหนึ่งถ้าจะถามว่าตัวเองกลัวความตายหรือเปล่า ความตายที่ตัวเองกลัวมันเป็นความตายในอีกรูปแบบหนึ่ง ก็คือรู้สึกว่าตัวเองกลัวความตายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ กลัวว่าตัวเองจะเน่าจะเหม็นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เลยรู้สึกว่าความตายที่หลายๆ คนได้พูดถึงในวันนี้เข้าไปถึงใจตัวเอง ก็คือว่าในลักษณะความตายแบบนั้นมันนอกเหนือจากความคิดนอกเหนือจากความคาดหมายและเราก็ไม่รับรู้แล้วด้วย

อย่างที่อาจารย์อุทิศพูดว่า ความตายกับการเจ็บป่วยมันครึ่ง ๆ อาจจะ 50 : 50 เพราะว่าเราสลึมสลึอยู่ แต่ว่าความตายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างสมมุติว่าเราไปทำอะไรอย่างสักอย่างหนึ่งที่มันไม่ดี และเป็นที่โจทย์ขานกันไปทั่วเลย สมมุติว่าในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์อยู่ในคณะคนหนึ่ง และก็ไปทำอะไรที่ไม่ดี สักอย่างหนึ่ง และคนในคณะก็พูดกันเต็มไปหมด อันนี้ผมถือว่าเป็นความตายอย่างหนึ่ง ก็คือตายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เรียกว่าตายทั้งเป็นก็ได้ เพราะฉะนั้นผมถึงรู้สึกว่า ความตายที่หลายๆคนได้พูดถึงวันนี้ ลึกๆแล้วผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่ที่กลัวก็คือตายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เน่าใน ขณะที่ยังมีชีวิตและเหม็นในขณะที่ยังมีชีวิต คิดว่าตัวเองรู้สึกอย่างนั้นมากกว่า

สมเกียรติ : ผมขอให้สิทธิ 2 เรื่อง เรื่องแรก ความจริงผมเป็นคนที่กลัวตายเหมือนกับคนอื่น แต่ว่าสิ่งที่ผมกลัวต่อมาหลังจากตายแล้วก็คือใส่โลงที่ไม่สวย อันนี้ผมแคร์มาก โลงเทพนมเป็นดีซายโลงศพที่เลวที่สุด ผมเคยเห็นในทีวีที่ชาวแอฟริกาใต้เขาทำโลงศพให้กับตนเอง และก็ทำเป็นรูปสัตว์รูปอะไร ผมว่าสวยมากเลย เป็นความงดงามและผมจะต่ออาจารย์เครือมาศอันหนึ่งก็คือชาวจีนที่อยู่ใน paradigm ของเกษตรกรรม เขามองความตายในทัศนะที่สร้างสรรค์มาก เขาถือว่าคนแกที่อนาถาหรือคนแก่ในบ้านที่เป็นญาติพี่น้องที่จะตาย เขาพร้อมที่จะให้เข้ามาในบ้าน เพื่อมาตายในบ้านเขา ทั้งนี้เพราะเขาถือว่า คนแก่มันเหมือนกับต้นไม้ที่มีอายุมาก เก่าแก่ ซึ่งเมื่อตายไปแล้วจะให้ดอกออกผล หรือเป็นปุ๋ยสำหรับคนรุ่นใหม่หรือว่าเด็กๆในบ้าน. ดังนั้นลูกสะใภ้ของชาวจีน... ถ้าเกิดมีคนตายคนหนึ่งที่เป็นคนแก่ในบ้าน ลูกสะใภ้ที่กำลังตั้งท้องอยู่จะเอาผมของตนเองไปลูบโลงศพเพื่อที่จะถ่ายเทเอาพลังของคนแก่ที่เพิ่งเสียชีวิตไปใหม่ ๆ เข้ามาสู่ครรภ์ของตนเอง เป็นการถ่ายเทพลังชีวิตมาหล่อเลี้ยงลูกที่อยู่ในครรภ์ อันนี้คิดอย่างเดียวกับต้นไม้ ผมคิดว่าอันนี้ก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งของการมองความตาย ที่เป็นมิติที่แตกต่างและก็น่าสนใจมาก และใครมีอะไรจะพูดต่อครับ

ทพ.อุทัยวรรณ กาญจนกามล : เห็นไหมครับคนที่พูดมากแล้วไม่พูดมันก็เป็นบาปบริสุทธิ์เหมือนกัน ผมมีทัศนะที่ไม่ค่อยได้คิดเกี่ยวกับเรื่องความตายเท่าไหร่ เพราะว่าผมมีชีวิตในเชิงบวก ผมไม่ได้ถือว่าชีวิตของผมวันนี้ ถ้าตายลงไปแล้ว มันจะน่าเศร้าใจ มันจะน่าเสียใจ และไม่น่ากลัวเลย. เพราะว่าผมก็เคยทดลองที่จะเข้าไปทำอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างทดลองตัวเองหลายอย่าง และผมก็มามอง เมื่อเห็นว่าผมจะต้องมานั่งมีท่าทีต่อความตายอย่างไร แต่ผมมีท่าทีต่อมนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้ว่าแท้จริงแล้ว ถ้าหวังว่าตัวเองจะสุขก็คงจะต้องนึกถึงคนอื่นด้วยนั่นคือ ทุกคนก็รักสุขเกลียดทุกข์ เพราะฉะนั้น อันไหนที่เราคิดว่ามันเป็นความสุข และคนอื่นเป็นความทุกข์ทำไงเราถึงจะไม่ทำให้คนอื่นทุกข์ เมื่อเรามีความรู้สึกไม่ทุกข์คนอื่นก็ไม่น่าจะทุกข์ เพราะฉะนั้นการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ก็ไม่น่าที่จะทำให้คนอื่นทุกข์ด้วย ตรงนี้ต่างหากเป็นประเด็นท่าทีต่อชีวิตของผมก็คือว่า ถ้ามันเป็นความสัมพันธ์ของแต่ละบุคคลผมก็ไม่อยากที่จะให้เมียทุกข์เพราะฉะนั้นอันไหนที่เมียจะทุกข์ ผมก็หลีกเสีย   ผมก็ไม่อยากให้ลูกศิษย์ผมทุกข์ ที่ลูกศิษย์ผมทุกข์ ผมคิดเอาเองว่าลูกศิษย์ผมคนนี้กำลังทำวาทกรรม แท้จริงแล้วเขาอยู่กับเพื่อนฝูงของเขาด้วยท่าทีที่ไม่ใช่ความทุกข์ วันนี้ผมอาจจะมองเขาผิดก็ได้ ที่เขามาพูดและพูดถึงเรื่องนี้ ผมคิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องท่าทีต่อตัวเอง แต่เป็นท่าทีต่อกลุ่มมากกว่า เพราะว่าเมื่อเขาเข้าไปอยู่ในฝูงชนของเขา เขาไม่เห็นว่าเขาจะแสดงท่าทีอะไรออกมาในเชิงทุกข์โศก ผมอาจจะมองผิดก็ได้. เพราะฉะนั้นผมต้องกลับไปมองในเพื่อนฝูงเขาใหม่ว่าทำอะไรให้เขาเอง เพราะว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่คนที่อยู่ในพวก ในฐานะของคนครอบงำ ผมยกตัวอย่างเช่น อาจารย์ในคณะมนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จนกระทั่งถึงคณะทันตแพทยศาสตร์ครอบงำทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเด็กจะมีความรู้สึกมากน้อยแค่ไหน?

สิ่งที่ผมเห็นว่าในขณะนี้ได้เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในฐานะมหาวิทยาลัยเที่ยงวันก็คือว่า มีคนกลุ่มหนึ่ง พยายามจะหยิบยืนความทุกข์ให้คนอื่น ด้วยความรู้สึกสะใจ ด้วยความรู้สึกเป็นสุข ในลักษณะที่เป็นซาดิสซ์ ผมเห็นฝนตกมีคนเอาป้ายคล้องคอสีแดงไม่รู้จากภาควิชาหรือว่าคณะไหน ฝนตกมากเลย หรือกลางคืนดึก ๆ คณะวิจิตรศิลป์บ้าคลั่ง (พูดถึงกรณีการรับน้องใหม่ มช.)   ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมนึกถึงคนที่อยู่ในสลัมคนหนึ่งเคยบอกผมว่าครั้งหนึ่ง ตอนที่เขาเห็นพ่อตบหน้าแม่ เขาอยากจะเอาตีนถีบพ่อ เขาอยากจะต่อสู้เพื่อให้แม่เขา เขาสะใจ เขาเกลียดพ่อเขามาก แต่วันหนึ่งที่เขามีลูกมีเมียเขาก็ตบเมีย ผมถามว่าทำไม? บอกไม่รู้มันซัดไปเฉย ๆ อย่างนั้น นั่นแสดงให้เห็นว่าการกล่อมเกลาทางสังคมนั้นเริ่มต้นจากคนคนอื่นเหมือนกัน ผมพูดว่าท่าทีต่อชีวิตในวันนี้ เราคุกคามคนอื่นไหม? ผมคิดว่าตรงนี้ต่างหากที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

อย่างหมอเมื่อครู่, อาจารย์พยาบาลพูดเมื่อครู่   เมื่อวานนี้ผมไปเยี่ยมคนๆหนึ่ง อยู่ที่ลำพูน ตอนนี้อยู่ในรพ.แห่งหนึ่งที่ตรงสี่แยก. วันหนึ่ง 4,500 บาท อยู่ในห้องไอซียู และอยู่มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงบัดนี้ ผมถามคนในที่นี้ว่าถ้าเป็นลูกเป็นหลาน 4,500 บาทต่อวันเพียงแค่อยู่ไอซียู ไม่ได้รวมถึงอะไรบ้าๆบอๆอีกเยอะแยะ ถามว่าเขาเอาเงินมาจากไหนรู้ไหม ปรากฏว่าย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน คนที่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นลูกคนโตเป็นคนบอกว่าอย่าเพิ่งให้แม่ตายให้ละไว้ก่อน ก่อนที่เขาจะมา ก็ประชุมกันเมื่อประชุมกันในกลุ่มบอกว่าก็เอามาไว้และเอาเข้าห้อง ไอซีย ูและหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาไม่มีใครสามารถจะบอกว่าเอาเบิดออก และหมอก็เลี้ยงไข้มาจนกระทั่งบัดนี้ เสียเงินไปแล้ว 2,500,000 บาท เงินจำนวนนี้ขายที่ สามีขายอาหารอยู่ที่ตลาด ไม่มีเงิน คนที่ส่งเงินมาจากอเมริกาหรืออังกฤษก็ขายอาหารเหมือนกันส่งมา ถามว่าทั้ง 2 ครอบครัวนี้ขายอาหารเพื่อส่งเงินให้แม่ซึ่งอยู่ในห้องผ่าตัดเป็นเวลาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงขนาดนี้ ถามว่ามันเป็นมหกรรมอะไร? ตรงนี้เอง ประเด็นก็คือว่า เรากำลังใช้วิธีการต่างๆไม่ว่าหมอพยาบาลหรือว่าวิชาชีพอะไรก็ดีค้าขายกับชีวิตของคน แล้วบอกว่าอันนี้คือจริยธรรม ผมก็ไม่รู้ว่าจริยธรรมอย่างนี้มันใครได้ อยากจะบอกว่าคนๆหนึ่งเสียเงิน 600,000 บาทให้คนหนึ่งผ่าตัด แล้วมันเฟะ แต่ว่าหมอคนนั้น ทำท่าทีเหมือนกับว่าเอาใจใส่... เสียเงินไปแล้ว 600,000 บาทอย่างนี้เป็นต้น อันนี้มันเป็นลีลานะครับ, เป็นท่าทีต่อชีวิตของคนอื่น ซึ่งเอาเปรียบ คดโกง คุกคามร้อยแปด ผมถามว่าคนทุกวันนี้ manipurate กันมาก ผมว่ามากมายมหาศาล. ทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้คนสามารถปลดตัวเองออกมาจากวังวนของ manipuration ผมว่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต้องทำก่อน อาจารย์ในมัธยมศึกษาต้องทำก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วอาจารย์อนุบาลเองก็ manipurate ซึ่งเขาบอกที่ manipurate เพราะอะไร? เพราะว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ยังทำเลย.

คืนก่อนนี้ อาจารย์ธเนศวร์โทรมาผมเที่ยงคืนบอกว่า ตอนนี้คณะข้างๆ มันกำลังจัดการเกี่ยวกับเรื่องน้องใหม่มัน ถามว่าเป็นยังไงมันก็ทำมาทุกปี ก็เห็นอยู่ก็เดือดร้อนทุกปี มันไม่อย่างนั้นซิ โรงเรียนที่อยู่ข้างๆ(หมายถึงโรงเรียนสาธิต)ในมหาวิทยาลัยก็เอาเหมือนกันเอาหนักด้วย ผมถามว่าในขณะนี้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กำลังชอบธุระหรือเปล่า อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความรู้สึกเฉยเมยต่อสิ่งนั้น เวลาที่ผมพูดถึงเรื่องท่าทีต่อชีวิต ผมมองคนอื่นก่อนว่าเขาอยู่ในคณะนี้ได้รับภาวะครอบงำหรือเปล่า ถ้าเขาอยู่ในภาวะครอบงำ ผมถึงจะคุยด้วยและก็หาวิธีการที่จะปลดปล่อย แต่ถ้าเขา liberate แล้วผมว่าปล่อยเถอะ. และท่านที่นั่งที่นี่ทั้งหลาย liberate แล้ว ยกเว้นอาจารย์อุทิศ ขออภัยนะครับ. ผมก็เลยมีความรู้สึกว่า ตอนนี้วิถีชีวิตของคนในสังคมมีมากยิ่งขึ้นทุกที และผมก็ขอวิงวอนให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ในสังคมไหนก็ตาม ท่าทีต่อชีวิตของตนเองนั้นคงไม่เท่าไหร่? แต่ท่าทีต่อชีวิตของคนอื่น โดยการนำพาในอนาคต มันน่าจะเป็นเรื่องของการปลดปล่อย

อุทิศ : ผมสรุปสำหรับตัวเองนะว่า พอเห็นน้องเขาพูดเรื่องความทุกข์ ผมรู้สึกเป็นพะวงใจว่าเข้าใจชีวิตผิดพลาด อยากให้ชวนเขามาเชื่อเหมือนผม มองว่าชีวิตคือความอร่อย การได้เจอความทุกข์ ความสุขหรือว่าความว่างเสียบ้าง อะไรอย่างนี้ คิดเรื่องความว่างเรื่องศาสนาบ้าง เห็นเป็นความอร่อยถ้าจิตเราคิดปรุงแต่ง ผมใช้คำว่าคิดปรุงแต่งเห็นทุกอย่างเป็นความอร่อยไปหมด เห็นเป็นเรื่องของการบริหารความอร่อย ผมไม่ใช่คนสุดโต่งปัจเจก แม้แต่เรื่องของสังคมผมก็เห็นด้วยนะ ที่จุดประเด็นว่าสังคมอยุติธรรมมีคนเบียดเบียนเราต้องทำอย่างไร? ผมคนหนึ่งที่มีอุปนิสัยท้าทายแต่ผมท้าทายด้วยความอร่อย เรื่องสังคมผมไม่น้อยหน้าใคร ถ้าห่างๆ ตัวก็ไม่ค่อยสน ถ้าใกล้ตัวผมก็ฟันเหมือนกัน คือผมถือปรัชญาหนามยอกเอาหนามบ่งคุณจะชกผม ผมก็จะชกคุณ คุณการเมืองใส่ผม ผมก็การเมืองใส่คุณ เพราะว่าผมเชื่อเรื่องสันติภาพยืนอยู่ได้ด้วยดุลย์แห่งอำนาจ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องหันแก้มขวาให้ตบ แล้วหันแก้มซ้ายใหตบอีก ผมไม่เคยเชื่อ. ผมเชื่อว่าถ้ายูมีนิวเคลียร์ก็ต้องมีนิวเคลียร์, ชกก็ต้องชกกัน ผมถึงชวนน้องบอกว่ามองชีวิตอย่างผมมีความสุขที่สุดทุกข์ก็เป็นความอร่อย สุขก็เป็นความอร่อย ความสงบก็เป็นความอร่อย เจอคนไม่มีความเป็นธรรมก็ลุยได้เลย.

เป็นความอร่อยเหมือนกันและก็..เรื่องความตายไร้สาระอธิบายเรื่องแม่แจ่ม เรื่องอะไรมันเป็นวิธีการสำหรับคนเราเรียกว่าคนไม่เชื่ออำนาจในตัวเอง เพราะว่าถึงเวลาตาย ผมยังเคยไม่รู้ว่าชีวิตผมต้องฆ่าตัวตาย ถ้าถึงเวลาแล้วรู้สึกว่าชีวิตไม่มัน เริ่มบริหารแล้วไม่มันเริ่มฝืด และต้องเข้า รพ...อะไร 80 % ของเงินที่สะสมต้องจ่ายอาจารย์อุทิศไม่มีทางจ่าย พูดตรงนี้เลยว่าไม่มีทางจ่าย นี่คือท่าทีและนโยบายชีวิตที่ผมอยากจะเชิญชวน... ผมเชื่อว่าคุณจะมีความสุขมากเลย คือผมชอบใช้คำว่าจัดและวางชีวิต มันจะต้องจัดมันต้องดูจริงจัง แต่วางมันไว้ตรงนั้นทันที จัดวาง จัดวางตลอดเวลา เป็นปรัชญาส่วนตัวสำหรับผม ก็ชวนให้มามีความสุขด้วยกัน

สมเกียรติ : รู้สึกว่าคราวที่แล้วอาจารย์อุทิศขอให้เรียกตัวเองว่าเป็นสัตว์อุทิศ ผมคิดว่าจะเรียกอาจารย์อย่างนี้ เพราะว่าเท่าที่ฟังดูมัน instinct ชัดๆ ไม่มีระดับสำนึกมนุษย์เลย สุดท้ายจริงๆ พรุ่งนี้เราจะเอาสิ่งที่เราได้รับบริจาคจากวงของเราไปช่วยชาวปะหล่องที่เชียงดาว ถ้าวันนี้มีใครสนใจที่จะไปด้วย และถ้ามีรถหรือว่าจะนัดแนะกันก็ขอให้เจอกันหลังจากนี้หรือใครจะบริจาคเงินเพิ่มเติม เพื่อช่วยชนกลุ่มน้อยพี่น้องของเรานะครับ ที่เสียเปรียบในสังคมก็ยินดีเป็นอีกครั้งหนึ่ง. ที่ตรงหน้าผมที่อยู่ตรงนี้เป็นแผ่นสำหรับการรู้จักตัวเอง ใครเกิดปีเถาะมารับปีเถาะนะครับ ใครเกิดมีมะเมียก็มารับปีมะเมียไปนะครับ

ขอบคุณทุกคนที่ได้มาแลกเปลี่ยนกัน

Back to Home Page  email : midnightuniv@yahoo.com