- Ultra Mong's diary -
"My OBSC 2003 experience"
7-24 October 2003 / On board the ship Nippon Maru /Philippines and Japan

 Hello Nippon Maru  | Manila again  | OBSC mission | Arrive Japan  | SSEAYP News
Commemorative of the 30th SSEAYP Anniversary | Tokyo program  | visit elementary school 
Special mission |  Ultraman shop  |  meet old friends  | farewell
(หมายเหตุ - หน้าอื่นๆกำลังทะยอยตามมาครับ...ขออภัยในความไม่สะดวก)

 Chapter I  

   สวัสดี นิปปอนมารู    


ASSEAY members
 

7 ตุลาคม 2546 วันแรกของการเดินทาง
 
หลังจากรักษาเนื้อรักษาตัว รักษาสุขภาพไม่ให้เจ็บป่วย และรักษาอุณหภูมิร่างกายไม่ให้เกิน 38 องศาเซลเซียสมานานกว่า 2 สัปดาห์(ตามข้อกำหนดของทางญี่ปุ่น) ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้ทำตามความฝันที่จะได้เดินทางไปพร้อม กับเรือนิปปอนมารูอีกครั้ง ูในโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ประจำปี 2003 โดยคราวนี้มิใช่ในฐานะเยาวชน แต่เป็นผู้แทนสมาคมเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์แห่งประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมประชุม OBSC หรือ ON Board the Ship Conference ประจำปี 2003 ซึ่งมีบทบาทแตกต่างออกไปจากการเป็น PY เมื่อปี 1991 อย่างเห็นได้ชัด

ผมเดินทางไปถึงท่าอากาศยานกรุงเทพตั้งแต่เช้าเพื่อผ่านกระบวนการ Check-in ตามปกติ พร้อมทั้ง load กระเป๋าเดินทางใบเขื่องลงบรรจุลงใต้เครื่องบิน เนื่องจากเป็นคนที่ไม่ชอบแบกของพะรุงพะรังในระหว่างเดินทาง หลังจาก check-in และโหลดประเป๋าเสร็จ ก็เดินออกไปแลกเงินเป็นสกุลเปโซของฟิลิปินส์ จำนวนหนึ่งพอประทังชีวิตในมนิลาได้สัก 2-3 วัน นอกนั้นก็แลกเป็นเงินสกุลเยนของญี่ปุ่นจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลืออีกกว่าครึ่งเป็นเงินไทยก็เก็บใส่กระเป๋าไว้ การเดินทางคราวนี้ผมแลกเงินสดไปไม่มากนัก เพราะตั้งใจว่าหากจะซื้อของราคาแพงก็จะใช้เครดิตการ์ดแทน 

กำลังจะเดินเข้าไปข้างในอยู่แล้วเชียว ก็เห็นบรรดาพี่ๆน้องๆชาวสมาคมเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์แห่งประเทศไทยตามมาส่งกันหลายท่าน อาทิ พี่นูนู(นวลอนงค์ โคมิเนะ - อุปนายก ฝ่ายต่างประเทศ) พี่ฮิโรอากิ โคมิเนะ (ที่ปรึกษาสมาคม) คุณกัมปนาท บริบูรณ์ (เลขาธิการสมาคม) คุณปฏิมา หรือริต้า ไชยบุญทัน (ทีมเว็บไซต์สมาคม) เลยได้คุยกันเป็นที่สนุกสนาน ก่อนจะลากัน พี่วิศิษฐ เดชกำธร ที่ปรึกษาอาวุโสของสมาคมก็โทรศัพท์มาส่งอีกราย ทำให้รู้สึกอบอุ่นว่า พวกเราชาวสมาคมเรือเยาวชนฯรักใคร่เป็นห่วงเป็นใยกันดีจริงๆ มิเสียแรงที่เป็น "ชาวเรือ" เหมือนกัน (เหมือนคำพังเพยโบราณที่ว่า "ลงเรือลำเดียวกัน" นั่นไงล่ะครับ)

คุยกันเพลินจนเกือบจะ 9.30 น. ผมจึงอำลาทุกคน เดินเข้าทางช่องผู้โดยสารขาออก ผ่านช่องทางการประทับตราในพาสปอร์ตก็ผ่านด้วยดีเพราะเราไม่เคยมีประวัติเป็นผู้ก่อการร้าย มีหมายจับ หรือเคยกระทำผิดกฎหมายใดๆ พอเข้าไปถึงห้องโถงผู้โดยสารขาออกได้ก็เหมือนกับหลุดไปอีกโลกหนึ่ง ที่อยู่นอกเขตราชอาณาจักรไทยไปเสียแล้ว เพราะเต็มไปด้วยชาวต่างประเทศเดินกันขวักไขว่ ผมเดินไปนั่งรอตรงช่องทางออกที่กำหนด ยังเหลือเวลาอีกมากพอสมควร แต่ก็ดีไปอย่างเพราะมาถึงก่อนจะได้พักผ่อนก่อนเดินทาง ดีกว่ามาเอาเฉียดเวลาหวุดหวิด หากเกิดปัญหาขึ้นมาอาจแก้ไขไม่ทัน
 

Ready to fly!

เที่ยวบินที่ทางประเทศญี่ปุ่นจัดเตรียมไว้ให้ผมสำหรับเดินทางคือ สายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 640 บินจากกรุงเทพ แวะที่มนิลา ก่อนจะบินต่อไปโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เที่ยวบินนี้จึงเต็มไปด้วยชาวฟิลิปินส์เกือบครึ่งลำ ใช้ระยะเวลาบินไปถึงมนิลาประมาณ 2 ชั่วโมง เรียกว่าบินตัดประเทศลาวและเวียดนามออกทะเลจีนใต้ ไปลงที่กรุงมนิลาเลยทีเดียว โชคดีที่อากาศวันนั้นแจ่มใส ท้องฟ้ามีเมฆบ้าง แต่ไม่ใช่เมฆฝน อากาศร้อนตามปกติ 
 
ผมนั่งชมวิว ดูเครื่องบินขึ้นลงอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ทางสายการบินก็เรียกขึ้นเครื่อง ได้นั่งริมหน้าต่างตามที่ขอไว้ รอบข้างมีแต่ชาวฟิลิปินส์ คุยกันภาษาตากาล็อกดังลั่น โชคดีที่ผมฟังไม่เข้าใจ เลยปล่อยให้เสียงคุยผ่านหูไปโดยไม่จับใจความ
 
หลังจากเครื่องบินขึ้น รักษาระดับแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสพักสายตาไปงีบใหญ่ๆ เพื่อชาร์ตพลังงานให้ตนเอง (อายุชักจะมากแล้วนี่ครับ ไม่ใช่ 27-28 เหมือนตอนไปโครงการเรือฯสักหน่อย) ก่อนคุณแอร์โฮสเตรสสาวจะปลุกขึ้นมารับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งก็ต้องขอแสดงความเห็นด้วยความเคารพ ผ่านอาหม่อมหรือคุณชายถนัดศรี สักหน่อยว่า อาหารของการบินไทยยังคงไม่ค่อยอร่อยเสมอต้นเสมอปลาย ยิ่งช่วงประหยัดเพราะวิกฤติเศรษฐกิจด้วยแล้ว ก็ยิ่งทานไม่ค่อยได้ไปใหญ่ (หรือเราจะเป็นคนกินยากเองก็ไม่รู้...) ไม่ได้ตินะครับ...ไม่ได้ติ...แค่ comment 
 
หลับต่อหลังอาหารไปได้ครู่ใหญ่ๆ เครื่องก็ลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานกรุงมนิลา ประเทศฟิลิปินส์ ผมค่อนข้างตื่นเต้นเพราะถือเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตที่มาเยือนประเทศนี้หลังจากมาในโครงการเรือเยาวชนฯเมื่อ 12 ปีก่อน ตอนเครื่องบินลดระดับลง ผมมองออกไปทางหน้าต่างบริเวณที่เดาว่าน่าจะเป็นท่าเรือน้ำลึกของกรุงมนิลา ก็โชคดีได้เห็นเรือนิปปอนมารู้จอดอยู่ ขาวเด่นเป็นสง่า เห็นแล้วปลื้มใจยิ่งนักว่า ในที่สุด ผมก็มีโอกาสได้กลับมาหาเธออีกครั้ง

เมื่อลงมาถึงพื้นดิน ก็พบเจ้าหน้าที่สาวจากการท่าอากาศยานมนิลามาชูป้ายชื่อรอรับอยู่แล้ว แถมยังอำนวยความสะดวกผ่านการประทับตราเข้าเมืองผ่านทางช่อง Diplomat จนกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่ถึง 5 นาที การอำนวยความสะดวกในลักษณะเช่นนี้เป็นคุณลักษณะประการหนึ่งของประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ของเรา ทำให้ผู้มาเยือน(ในลักษณะมาดี ไม่ได้มาร้าย) รู้สึกประทับใจ ซึ่งในหลายประเทศไม่มี ปล่อยให้ผู้ไปประชุมหรือไปราชการที่นั่นต้องระหกระเหิรไปตามมีตามเกิด อันนี้ก็ทำให้ความประทับใจน้อยลง

     

Manny

 

 

หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของสมาคมเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ของฟิลิปินส์ (SIP-SSEAYP International Philippines) มารอรับ พาไปที่ห้องพักรับรอง และหนึ่งในเจ้าหน้าที่จาก SIP ชื่อ Emmanuel Tuason Beato หรือ Manny ซึ่งเป็นผู้แทน OBSC ของฟิลิปินส์ และจะเป็น Cabin mate / Room mate ของผมไปจนตลอดโครงการ
เรารอสมาชิก OBSC จากแต่ละประเทศที่บินมาถึงกรุงมนิลาในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อครบทุกชาติแล้ว  Manny และคณะก็พาเราขึ้นรถยนต์ตู้ เดินทางฝ่าการจราจรที่คับคั่งของกรุงมนิลาไปยังท่าเรือน้ำลึกทันที

และเมื่อไปถึง...เธอก็รอผมอยู่ที่นั่นแล้ว...สวัสดี...นิปปอนมารู...
 
(ความรู้สึกของผม คงเหมือนกับ Captain Kirk ที่ได้กลับมายัง Starship Enterprise อีกครั้ง ในภาพยนต์ Star Trek ไม่มีผิด...ใครที่เป็นแฟนภาพยนต์เรื่อง Star Trek คงเข้าใจดี)