ประเภท ลักษณะ ที่มา โทษ ภูมิคุ้มกัน แหล่งรักษา กฎหมาย หน้าแรก

  

ชื่อทั่วไป : กัญชา (Cannabis)

 

สารเคมีที่ออกฤทธิ์   : เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinal)
ลักษณะทางกายภาพ :
กัญชาเป็นพืชล้มลุกจำพวกหญ้าขึ้นได้ง่ายในเขตร้อน ลำต้นสูงประมาณ 2-4 ฟุต ลักษณะใบจะแยกออกเป็นแฉกประมาณ 5-8 แฉก คล้ายใบมันสำปะหลังที่ขอบใบทุกใบจะมีรอยหยักอยู่เป็นระยะๆ ออกดอกเป็นช่อเล็กๆตามง่ามของกิ่งและก้าน ส่วนที่นิยมนำมาเสพ คือก้าน ใบ และยอดช่อดอกกัญชา โดยนำมาตากหรืออบแห้งแล้วบดหรือหั่นให้เป็นผงหยาบๆ จากนั้นจึงนำมายัดไส้บุหรี่สูบ หรืออาจสูบด้วยกล้องหรือบ้องกัญชา บ้างก็ใช้เคี้ยวหรือผสมลงในอาหารรับประทาน 
ปัจจุบันรูปแบบของกัญชาที่พบนอกจากจะพบในลักษณะของกัญชาสด กัญชาแห้งอัดเป็นแท่งเป็นก้อนแล้วยังอาจพบในรูปของ "น้ำมันกัญชา" (Hashish Oil) ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ได้จากการนำกัญชามาผ่านกระบวนการสกัดหลายๆ ครั้ง หรืออาจพบในลักษณะของ "ยางกัญชา" (Hashish) ซึ่งทำจากเกษรของดอกกัญชามีลักษณะเป็นผงละเอียดและมีส่วนที่เป็นยางเหนียวมากกว่ากัญชาชนิดอื่น เป็นต้น

ประวัติความเป็นมา :
กัญชา เป็นพืชพันธุ์ไม้ล้มลุกชนิดหนึ่งขึ้นได้เกือบทั่วโลก ต้นกัญชาสามารถนำมาใช้เป็นยาเสพติดได้เกือบทุกส่วน มนุษย์รู้จักกัญชาและเสพกันมานาน ประมาณ 4,000-5,000 ปีมาแล้ว แต่เดิมเข้าใจกันว่ากัญชาปลูกขึ้นได้ในประเทศที่มีอากาศร้อน เช่น ในทวีปอาฟริกาและเอเชีย ต่อมาได้ทดลองนำกัญชาจากอาฟริกาใต้ไปปลูกในนอร์เวย์ และไอซแลนด์ซึ่งมีอากาศหนาว กัญชาก็ปลูกขึ้นได้ดีและมีสารตัวสำคัญที่ทำให้กัญชามีฤทธิ์ คือ เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinal) อยู่มากด้วย ดังนั้นกัญชาจึงสามารถปลูกขึ้นได้ทั่วโลกอาจมีชื่อเรียกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
ประเภทของยา :
จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522

แหล่งผลิต :
มีการลักลอบปลูกกัญชากระจายอยู่ในหลายจังหวัดของภาคต่างๆ พื้นที่ที่มีการลักลอบปลูกมากที่สุดคือ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จ.สกลนคร จ.นครพนม และ จ.มุกดาหาร ส่วนภาคเหนือ พื้นที่หลักได้แก่ จ.ตาก และ จ.พิษณุโลก สำหรับภาคกลางมีการลักลอบปลูกกระจายทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณแนวชายแดนไทย-พม่าด้านตะวันตก ตลอดจนพื้นที่ใน จ.สระบุรี และ จ.ลพบุรี ผลจากการใช้มาตรการต่างๆ ทำให้การผลิตกัญชาทั่วประเทศลดลง ดังจะเห็นได้จาก สถิติการตัดฟันกัญชาสดในปี 2536 จำนวน 301 ตันเหลือเพียง 56 ตันในปี 2541

การแพร่ระบาด :
ปัญหาการแพร่ระบาดของกัญชาไม่รุนแรงนักเมื่อเทียบกับยาเสพติดชนิดอื่น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้เสพส่วนใหญ่จะใช้กัญชาในลักษณะเป็นการทดลองเสพ หรือเสพเป็นครั้งคราว ทำให้ปัญหาการเสพกัญชาจนถึงขั้นเสพติดมีไม่มากนัก จากสถิติการเข้ารับการบำบัดรักษาในช่วงต้นปี 2542 (เดือนมกราคม-มีนาคม 2542) พบว่า ในจำนวนผู้เข้ารับการบำบัดรักษาทั้งสิ้น 10,833 ราย เป็นผู้เข้ารับการบำบัดรักษากัญชาเพียงร้อยละ 1.1 เท่านั้น
การออกฤทธิ์ :
กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษที่ออกฤทธิ์หลายอย่างต่อระบบประสาทส่วนกลาง คือ ทั้งกระตุ้นประสาท กดประสาท และหลอนประสาท สารออกฤทธิ์ที่อยู่ในกัญชามีหลายชนิด แต่สารสำคัญที่สุดที่มีฤทธิ์ต่อสมองและทำให้ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเปลี่ยนแปลงไป คือ เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinal) หรือ THC ที่มีอยู่มากในส่วนของยอดช่อดอกกัญชา สาร THC นี้ในเบื้องต้นจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ ผู้เสพตื่นเต้น ช่างพูด และหัวเราะตลอดเวลา ต่อมาจะกดประสาททำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้าอย่างอ่อน เซื่องซึม และง่วงนอน หากเสพเข้าไปในปริมาณมากๆ จะหลอนประสาททำให้เห็นภาพลวงตา หูแว่ว ความคิดสับสน ควบคุมตนเองไม่ได้

ผลต่อร่างกาย :
1. มีอาการตาแดง คออักเสบ คอแห้ง เหงื่อออกมาก และกัญชาทำให้เพิ่มการขับน้ำในร่างกายผู้เสพ ซึ่งทำให้ผู้เสพกัญชาหิวน้ำและต้องการของหวานๆ มาก ทำให้กินอาหารจุ
2. มีอาการสั่นของกล้ามเนื้อ มือสั่น เท้าสั่น ทรงตัวไม่อยู่มีอาการผิดปกติทางสายตา ขาดการควบคุมตนเอง ซึ่งมีอันตรายอย่างยิ่งถ้าผู้เสพกัญชาขับรถยนต์ หรือเดินในท้องถนน
3.มีอาการเวียนศรีษะอย่างแรง หูอื้อ มีเสียงในหู ม่านตาขยายกว้างขึ้น มักอยู่ไม่สุข พูดพล่าม หัวเราะลั่น เอะอะ หรือแสดงตลกต่างๆ ความรู้สึกต่อความเจ็บปวดและประสาทสัมผัสไวมากขึ้น
4.มีอาการความดันเลือดสูง อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำ มือเท้าเย็น และกัญชามีส่วนทำให้เปลี่ยนระดับน้ำตาลในเส้นเลือดด้วย
5.มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ตื่นเต้นกระสับกระส่าย หายใจไม่สะดวก ทำการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายได้พร้อมกันได้ยาก
6. มีอาการทางความคิดสับสน การตัดสินใจและสมาธิเสีย อารมณ์ซึมเศร้าคุมสติไม่อยู่ เกิดอาการเป็นโรคจิตขึ้นได้ อาการต่างๆเหล่านี้ อาจจะมีอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง หรือหลายสัปดาห์ก็ได้ ดังนั้น ผู้เสพกัญชาเป็นประจำมักหลีกเลี่ยงอาการเสื่อมทางจิตไม่พ้น จนกลายเป็นโรคจิตในที่สุด
อาการของผู้เสพ :
ระยะแรกของการเสพ
ผู้เสพติดกัญชาในระยะแรกจะมีอาการร่าเริง  ตื่นเต้น หัวเราะง่าย พูดมาก
ระยะต่อมาของการเสพ
> ง่วงนอน  ซึม
> เห็นภาพลวงตา  ภาพหลอนต่างๆ
> เกิดอาการหูแว่ว หวาดระแวง
> ความจำเสื่อม  ความคิดสับสน
> ไม่สามารถควบคุมตนเองได้
> มีอาการทางจิต
นอกจากนี้  สารพิษในกัญชายังทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย  ทำให้ร่างกายอ่อนแอ  ติดโรคอื่นๆ ได้ง่าย  เช่น  โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง  โรคระบบทางเดินหายใจ  โรคมะเร็งปอด
อาการขาดยา :
ถ้าใช้เป็นประจำเป็นเวลานาน  เมื่อหยุดใช้จะมีอาการหงุดหงิด  กระสับกระส่าย  นอนไม่หลับ  เหงื่อออก
เบื่ออาหาร

การป้องกัน
การป้องกันตนเอง
1.ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาให้ถูกต้อง
2.อย่าลองเสพสิ่งที่รู้ว่ามีภัย  เพราะอาจทำให้ติดได้
3.เลือกคบเพื่อนที่ดี  หลีกเลี่ยงเพื่อนที่ชอบชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย
4.รู้จักใช้วิจารณญาณในการแก้ปัญหา  ถ้าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง  ควรปรึกษาครู  อาจารย์  พ่อ  แม่ 
   หรือญาติผู้ใหญ่ที่สนิทและไว้วางใจมาช่วยแก้ไข
5.รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
การป้องกันครอบครัว
 1.แนะนำ ตักเตือน ให้ความรู้แก่สมาชิกในครอบครัวให้เกิดความตระหนักถึงโทษ พิษภัยของยาเสพติด
 2.สอดส่อง  ดูแล สมาชิกในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าติดยาให้รีบนำไปบำบัดรักษาทันที
 3.พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นที่ปรึกษาแก่สมาชิกในครอบครัวได้
 4.ความรัก ความเข้าใจกันระหว่าง พ่อ แม่ ลูกและทุกคนในครอบครัว จะทำให้ทุกคนทีความสุข ไม่หันไปพึ่งพายาเสพติด
กัญชา  จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522  ซึ่งมีบทลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดดังนี้

โทษทางกฎหมาย

จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522
ข้อหา
ยาเสพติดให้โทษประเภท 5
ผลิต นำเข้า ส่งออก
- จำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับ 20,000 – 150,000 บาท (ม.75 ว.1)
จำหน่าย ครอบครองเพื่อจำหน่าย
- จำคุก 2-15 ปี และปรับ 20,000 – 150,000 บาท (ม.76 ว.2)
ครอบครอง
- จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท (ม.76 ว.1)
- ถ้า 10 กก. ขึ้นไป ถือว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย (ม.26 ว.2)
เสพ
- จำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท (ม.92 ว.1)
ใช้อุบาย หลอกลวง ขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายฯให้ผู้อื่นเสพ
- จำคุก 1-10 ปี และปรับ 10,000-100,000 บาท (ม.93)
- ถ้ากระทำโดยมีอาวุธหรือร่วมกัน 2 คนขึ้นไป จำคุก 2-15 ปี และปรับ 20,000-150,000 บาท
- ถ้ากระทำต่อหญิงหรือต่อผู้ไม่บรรลุนิติภาวะ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้อื่นกระทำความผิดอาญา หรือเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดอาญา จำคุก 3 ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ 30,000-500,000 บาท
ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเสพ
จำคุก 1 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 (ม.93 ทวิ ว.2)

กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา

จัดทำโดย...นายไชยา  เฉลียวพงษ์  อาจารย์ 1 โรงเรียนปากคาดพิทยาคม อำเภอปากคาด จังหวัดหนองคาย