ชื่อทั่วไป
: สารระเหย
(Inhalant)
สารเคมีที่ออกฤทธิ์
:โทลูอีน ,
อาซีโทน
ฯลฯ
ลักษณะทางกายภาพ
:
สารระเหยเกือบทุกชนิดเป็นของเหลว
มีกลิ่นเฉพาะตัว
หรือกลิ่นหอม
ระเหยได้ดี
มีความหนืดต่ำค่าแรงตึงผิวต่ำ
บางตัวติดไฟได้
เช่น Toluene , Ethyl Acetate , Acetone
และ Methyl Ethyl Ketone
เป็นต้น
ส่วนมากมักไม่มีสี
ใส
ไม่มีตะกอน
ค่าความดันไอต่ำ
ละลายในน้ำได้ไม่ดี
แต่มีคุณสมบัติละลายได้ดีในไขมัน
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงอุตสาหกรรม
ฉบับที่ 14 (พ.ศ.2538)
กำหนดให้สารเคมีและผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้
เป็นสารระเหย
1.
สารเคมีมี 14
รายการ คือ
1. โทลูอีน (Toluene)
2. อาซีโทน (Acetone)
3.
เมทิลเอทิลคีโทน
(Methyl Ethyl Ketone)
4.
ไอโซโปรปิลอาซีโทน
(Isopropylacetone)
5.
เอทิลอาซีเทต
(Ethyl Acetate)
6.
เซลโลโซล์ฟอาซีเทต
(Cellosolve Acetate)
7.
เมทิลอาซีเทต
(Methyl Acetate)
8.
นอร์มาลบิวทิลอาซีเทต
(n-Butyl Acetate)
9.
เซคันดารีบิวทิลอาซีเทต
(sec- Butyl Acetate)
10. นอร์มาล-บิวทิลไนไตรท์
(n- Butyl Nitrite)
11. ไอโซ-บิวทิลไนไตรท์
(iso- Butyl Nitrite)
12.
บิวทิลเซลโลโซล์ฟ
(Butyl Cellosolve)
13.
เซลโลโซล์ฟ
(Cellosolve)
14.
เมทิลเซลโลโซล์ฟ
(Methyl Cellosolve)
2.
ผลิตภัณฑ์
ซึ่งมีสารเคมีที่เป็นสารระเหยผสมอยู่
มี 5 รายการ
คือ
1. ทินเนอร์
(Thinners)
2. แลคเกอร์
(Lacquers)
3.
กาวอินทรีย์สังเคราะห์
(Synthetic Organic Adhesives)
ที่มียางนิโอปรีน
หรือสารกลุ่ม
ไวนิลเป็นตัวประสาน
4.
กาวอินทรีย์ธรรมชาติ
( Natural Organic Adhesives)
ที่มียางสนหรือชันสน
ยางธรรมชาติหรือสารเซลลูโลสเป็นตัวประสาน
5.
ลูกโป่งวิทยาศาสตร์หรือลูกโป่งพลาสติก
(Blowing Balloon)
ประวัติความเป็นมา
:
สารระเหยคือสารที่ได้จากขบวนการผลิตน้ำมันปิโตรเลียม
การเสพสารระเหย
Hydrocarbon ในรูปของ
อีเธอร์ (ether)
ได้มีมานานแล้วในยุโรป
อังกฤษ
และอเมริกาเหนือ
ตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2343 (ค.ศ.1800)
ส่วนการสูดดมกาวติดพลาสติกและน้ำยาล้างเล็บ
เริ่มแพร่หลายมาตั้งแต่ปี
พ.ศ.2503 (ค.ศ.1960)
ต่อมามีการผลิตน้ำยาพ่นฝอย
(Aerosol Spray)ขึ้นมาใช้อย่างแพร่หลาย
ที่นิยมมากที่สุด
ได้แก่
กาวหรือซีเมนต์ที่ใช้สำหรับติดเครื่องบินเด็กเล่น
ในประเทศไทย
เริ่มพบว่ามีการนำเอาทินเนอร์ไปสูดดมตั้งแต่ปี
พ.ศ.2520
เนื่องจากหาง่ายเพราะมีใช้กันอย่างแพร่หลายในทางอุตสาหกรรม
และราคาถูกกว่า
และสมัยก่อนยังไม่มีกฎหมายควบคุม
ต่อมาในปี
พ.ศ.2524
รัฐบาลตระหนักถึงปัญหา
จึงได้ให้กระทรวงสาธารณสุขออกกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
ยาเสพติดให้โทษมีบทบัญญัติว่า
ผู้ใดเสพสารใดซึ่งอาจทำลายสุขภาพได้เข้าสู่ร่างกายจนเกิดอาการติดสารนั้น
ให้ได้รับโทษ
ต่อมาในปี
พ.ศ.2533
จึงได้ประกาศใช้พระราชกำหนดป้องกันการใช้สารระเหยขึ้นเมื่อวันที่
19 มกราคม 2533
สาระสำคัญเน้นหลักการใหญ่
4 ประการคือ
การควบคุม
การป้องกัน
การปราบปราม
และการบำบัด
ประเภทของยา
สารระเหยจัดเป็นยาเสพติดตามพระราชกำหนดป้องกันการใช้สารระเหย
พ.ศ.2533
การแพร่ระบาด
:
ในสภาวะการณ์ที่เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำเช่นทุกวันนี้
รวมทั้งการที่รัฐได้ดำเนินการปราบปราม
ผู้ผลิตผู้ค้ายาเสพติดร้ายแรงอื่นๆ
อย่างจริงจัง
ทำให้ราคายาเสพติด
เช่น
เฮโรอีน
และยาบ้ายังมีราคาแพง
และหาซื้อได้ยากขึ้น
“สารระเหย”
ซึ่งเป็นสารเสพติดที่หาได้ง่ายกว่า
อาจกลับมาแพร่ระบาดรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันปัญหาสารระเหยยังคงมีความรุนแรงในระดับหนึ่ง
โดยมีพื้นที่แพร่ระบาดมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคกลาง
กรุงเทพมหานคร
ภาคใต้
และภาคเหนือ
การออกฤทธิ์
:
ออกฤทธิ์ในการกระตุ้นและกดประสาทส่วนกลาง
อาการที่มักจะเกิดขึ้นทันทีหลังเสพสารระเหย
คือ
ในระยะแรกจะทำให้มีความรู้สึกเป็นสุข
ร่าเริง
ศรีษะเบา
ตื่นเต้น
ต่อมาจะมีอาการเหมือนคนเมาสุรา
พูดจาอ้อแอ้ไม่ชัด
ไม่รู้เวลาและสถานที่
ควบคุมตนเองไม่ได้
มีอาการระคายเคืองต่อเยื่อบุภายในปากและจมูก
ทำให้น้ำลายไหลออกมา
ตามีความไวต่อแสงมากขึ้น
มีเสียงในหู
กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
ในตอนแรกจะมีผลกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้นอนไม่หลับ
ต่อมาจะมีฤทธิ์กด
ทำให้ง่วงซึม
หมดสติ
ถ้าเสพในขนาดสูงสารระเหยจะไปกดศูนย์หายใจทำให้ตายได้
สารระเหยบางชนิด
เช่น กลุ่ม
Ketone
ทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
โดยเฉพาะถ้าสูดดมในสภาวะตึงเครียดหรือเหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลังกาย
การสูดดมเป็นเวลาสั้นก็อาจถึงชีวิตได้
นอกจากนี้ยังพบอาการจาม
ไอ
คลื่นไส้
ท้องเดิน
สั่น
และชักแบบลมบ้าหมู
สารระเหยพวกไฮโดรคาร์บอนออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สมองในระยะแรกๆ
จะทำให้มีความรู้สึกตื่นเต้น
ศรีษะเบา
หลังจากนั้นจะทำให้มีอาการมึนเมาเหมือนกับเมาเหล้า
พูดจาอ้อแอ้ไม่ชัด
ไม่สามารถควบคุมตนเองได้
เพราะกล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
หลังจากเกิดอาการมึนเมาแล้วถ้ายังคงสูดดมต่อไปอีก
30- 45 นาที่
จะทำให้มีอาการง่วงนอน
ซึมลง
และหมดสติในทีสุด
บางรายอาจเกิดการชักขึ้นได้
คนที่สูดดมสารระเหยพวกไฮโดรคาร์บอนอยู่เป็นประจำ
จะไอและแอมบ่อยๆ
เพราะสารพวกนี้ทำให้เกิดกระคายเคืองต่อเยื่อบุภายในจมูกและปาก
การสูดดมสารระเหยอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตได้
เพราะสารนี้ไปทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ
หรือการตายเนื่องจากเกิดการขาดอ๊อกซิเจนก็อาจมีได้เช่นกัน
พิษของสารระเหย
1. พิษเฉียบพลัน
การสูดดมสารระเหยเหล่านี้
จะทำให้เกิดความระคายเคืองต่อเซลล์เยื่อจมูกผิวหนังและทางเดินของลมหายใจ
ถึงขนาดทำให้เซลล์ตายได้นอกจากนั้นยังทำอันตรายต่อเซลล์ของหัวใจ
ตับและไต
การสูดดมสาระเหยเหล่านี้จำนวนมากๆ
อาจทำให้หมดสติหรือชักได้สารระเหยบางตัวอาจจะไปกดการหายใจทำให้เสียชีวิตได้
2. พิษจากการสูดดม
เป็นระยะเวลานาน
การสูดดมสารระเหย
เหล่านี้เป็นระยะเวลานานจะทำให้ร่างกายเกิดความต้านทานต่อสารเหล่านี้
ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อใช้ไปนานๆ
จะทำให้มีเลือดออกทางจมูก
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
เป็นแผลในจมูกและปาก
ร่างกายอ่อนเพลียความจำเสื่อม
เนื่องจากสารเหล่านี้มีฤทธิ์กดไขกระดูกจึงทำให้คนที่สูดดมเกิดเป็นโรคโลหิตจางและ
ยังมีพิษต่อปอดและตับด้วย
3. อาการที่แสดงออกเมื่อหยุดเสพ
การหยุดเสพจะทำให้อาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายบางคนจึงถือว่าสารเหล่านี้เป็นสารเสพติด
อาการที่ปรากฏหลังจากหยุดเสพได้แก่มี
อาการหนาวสั่น
ประสาทหลอน
ปวดศรีษะ
ปวดตามกล้ามเนื้อมีอาการทางจิต
คลุ้มคลั่ง
โมโหง่าย
อาจถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่นได้
ผลต่อร่างกาย
1.
ระบบทางเดินหายใจ
มีอาการระคายเคืองหลอดลม
เยื่อบุจมูกมีเลือดออก
หลอดลมอักเสบ
ปอดอักเสบ
2.
ระบบทางเดินอาหาร
มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร
เนื้อตับถูกทำลาย
3.
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ไตอักเสบจนถึงพิการ
ปัสสาวะเป็นเลือดเป็นหนอง
4.
ระบบหัวใจและหลอดเลือดหัวใจเต้นผิดปกติ
5.
ระบบสร้างโลหิต
ไขกระดูก
ซึ่งมีหน้าที่สร้างเม็ดโลหิตหยุดทำงานเกิดเม็ดโลหิตแดงต่ำ
เกล็ดเลือดต่ำทำให้ซีด
เลือดออกได้ง่าย
ตลอดจนทำให้เลือดแข็งตัวช้าในขณะเกิดบาดแผล
บางรายเกิดเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว
การบำบัด :
การเสพสารระเหยส่วนใหญ่ไม่เสพติดทางกายเมื่อหยุดใช้
ไม่มีมีอาการทางด้านร่างกายมากนักเมื่อเลิกเสพ
แต่บางรายอาจมีอาการที่เกิดจากการเสพสารระเหยเป็นระยะเวลานาน
เช่น
หลอดลมหรือปวดอักเสบ
ความจำเสื่อม
กล้ามเนื้อฝ่อลีบ
เดินโซเซ
สูญเสียการควบคุมอวัยวะต่างๆ
เช่น
มีอาการสั่นทั้งตัว
มือสั่น
เสียงสั่น
หากมีอาการรุนแรงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เพื่อให้การบำบัดรักษาทางด้านร่างกาย
แต่ปัญหาที่สำคัญของผู้ติดสารระเหย
คือ
ปัญหาการติดทางด้านจิตใจ
ดังนั้นจึงต้องให้การบำบัดรักษาผู้ติดสารระเหยทางด้านจิตใจ
โดยใช้วิธีการฟื้นฟูสมรรถภาพในรูปแบบต่าง
ๆ เช่น
การให้คำปรึกษาและการทำจิตบำบัด
เป็นต้น
เพื่อให้ผู้ติดยาเสพติดเข้าใจถึงปัญหาของตนเองที่นำไปสู่การเสพยาเสพติด
รวมทั้งการปรับสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นได้แก่
การปรับสภาพแวดล้อมครอบครัวเพื่อให้สมาชิกในครอบครัวได้เข้าใจปัญหาและ
ช่วยกันแก้ไขปัญหาร่วมกันเในการ
ดูแลประคับประคอง
ผู้ติดสารระเหย
การสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้ผู้ติดยาเสพติดสามารถดำรงชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพายาเสพติดอีกต่อไป
โทษทางกฎหมาย
สารระเหยจัดเป็นยาเสพติดตามพระราชกำหนดป้องกันการใช้สารระเหย
พ.ศ.2533