ประวัติและปฏิปทา

หน้าแรก ประวัติและปฏิปทา ธรรมและคำสอน รูปภาพ

โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

๑. สุรินทร์ถิ่นกำเนิดของหลวงปู่

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นชาวสุรินทร์โดยกำเนิด ท่านเกิดเมื่อ พ..๒๔๓๑ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

เรื่องราวของจังหวัดสุรินทร์ถิ่นกำเนิดของหลวงปู่เมื่อสมัย ๑๐๐ กว่าปีมาแล้ว ตามที่หลวงปู่เล่าให้ฟังและท่านเจ้าคุณ พระโพธินันทมุนี (สมศักดิ์ ปณฺฑิโต) ได้เรียบเรียงบันทึกไว้ มีดังต่อไปนี้ 

ชุมชนสุรินทร์ในอดีตไม่มีหลักฐานว่าเกิดขึ้นเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่ามีมาไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐ ปี เคยผ่านความรุ่งเรืองมาสมัยหนึ่งในฐานะเป็นเมืองหน้าด่านจากผืนที่ราบโคราช ลงสู่แคว้นเจนละของกัมพูชา 

สุรินทร์ หรือ เมืองประทายสมันต์ หรือ ไผทสมันต์ ในอดีต อยู่ในพื้นที่ราบต่ำที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และมวลสัตว์ป่านานาชนิด 

หลักฐานเมืองโบราณที่พบเห็น ได้แก่ปราสาทหินหลายแห่ง เช่น ปราสาทหินภูมิโปน ปราสาทระแงง ปราสาทยายเหงา ปราสาทตาเหมือน ปราสาทจอมพระ ปราสาทเบง เป็นต้น รวมทั้งกำแพงเมืองสุรินทร์เดิมซึ่งมี ๒ ชั้น เคยตั้งตระหง่านมาเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว ก็ยังมีหลักฐานเหลือให้เห็นได้ชัดเจน 

ในสมัยนั้นบ้านเรือนมีน้อย ไม่แออัดเหมือนทุกวันนี้ 

ด้านทิศใต้ของ วัดบูรพาราม ของหลวงปู่ เป็นกำแพงเมืองชั้นในสูงตระหง่านบังหลังคากุฏิ เพิ่งจะอันตรธานหายไปเมื่อไม่เกิน ๑๐๐ ปีมานี้เอง 

จากกำแพงเมืองชั้นในออกไปทางทิศใต้เพียง ๕๐๐ เมตร จะเป็นกำแพงเมืองชั้นนอก ซึ่งมี วัดจุมพลสุทธาวาส (วัดที่หลวงปู่เข้าอุปสมบท) อยู่ติดขอบกำแพงด้านใน 

เลยกำแพงเมืองชั้นนอกออกไปเป็นเขตชนบททั้งสิ้น ห่างออกไปไม่ถึง ๒ กิโลเมตร จะเป็น ลำห้วยเสนง ฝั่งห้วยจะมีไม้ยางป่าขนาดมหึมาเต็มไปหมด ชุกชุมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ไม่ว่าหมูป่า ลิง ชะนี ค่าง แม้กระทั่งแรดก็ปรากฏให้เห็นทั่วไป 

ห่างออกไป ๕-๑๐ กิโลเมตร จึงจะพบหมู่บ้านสักแห่ง ซึ่งมีบ้านเรือนประมาณ ๔-๕ หลังเท่านั้น 

หมู่บ้านที่หลวงปู่ถือกำเนิดชื่อว่า บ้านปราสาท ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปทางทิศใต้ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร 

หลวงปู่ได้เล่าถึงบรรพบุรุษของท่านว่า รุ่นปู่ทวดของท่านอาศัยอยู่ที่บ้านสลักได ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองด้านตะวันออก 

ประมาณปี พ..๒๓๙๘ คุณตาของหลวงปู่ชื่อคุณตาแสร์ และญาติพี่น้องรวม ๕ ครอบครัว ตั้งใจจะพากันอพยพไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่  เขมรต่ำ (ประเทศกัมพูชา) จึงเดินทางด้วยช้างมุ่งลงทางใต้ไปเรื่อยๆ 

เมื่อเดินทางไปได้ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ก็ได้พบกับคณะของ พระยาสุรินทร์ภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง) เจ้าเมืองสุรินทร์ลำดับที่ ๕ กำลังออกสำรวจพื้นที่อยู่ 

ท่านเจ้าเมืองทราบว่าครอบครัวเหล่านั้นกำลังจะไปทำมาหากินที่เขมรต่ำจึงได้ทัดทานไว้ โดยชี้แจงถึงความยากลำบากและอันตรายในการเดินทาง รวมทั้งสภาพบ้านเมืองของเขมรที่ไม่สงบเรียบร้อย ยังไม่น่าไว้วางใจ 

พร้อมกันนั้น ท่านเจ้าเมืองก็แนะนำและขอร้องให้พากันตั้งบ้านเรือนอยู่ทำมาหากิน ณ สถานที่แห่งนั้น ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ ใครใคร่จะจับจองเอาที่ดินที่นามากเท่าไรก็ได้ 

คณะผู้อพยพก็คล้อยตาม รวมทั้งยำเกรงท่านเจ้าเมืองด้วย จึงตกลงตั้งหลักแหล่งอยู่ ณ สถานที่นั้น ได้ช่วยกันหักร้างถางพงสร้างบ้านเรือนตั้งเป็นหมู่บ้านขึ้นมา และด้วยหมู่บ้านนั้นตั้งอยู่ใกล้เคียงกับปราสาทโบราณ จึงเรียกขานกันว่า บ้านปราสาท 

คุณตาแสร์ของหลวงปู่เป็นนายบ้าน ทำหน้าที่ปกครองดูแลหมู่บ้านปราสาทแห่งนั้น 

คุณตาแสร์มีลูก ๖ คน คือ ๑. นายมาก ๒. นางเงิม (มารดาของหลวงปู่) . นายม่วง ๔. นางแก้ว ๕. นางเมอะ และ ๖. นายอ่อน 

ครอบครัวของคุณตาแสร์ก็ขยายสาขาเพิ่มสมาชิกออกไป บางส่วนก็อยู่ในบ้านปราสาท บางส่วนก็อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียง บางส่วนก็อพยพย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นตามวิถีชีวิตของแต่ละคน 

การประกอบอาชีพของผู้คนสมัยนั้น ได้แก่การทำไร่ เริ่มต้นด้วยการแผ้วถางป่าที่หนาทึบ เพื่อปลูกข้าว ฟัก แฟง แตงกวา สำหรับใช้ทำอาหาร นอกจากนี้ก็เก็บของป่า ล่าสัตว์ ซึ่งมีอย่างอุดมสมบูรณ์ 

สำหรับผู้หญิงทำงานบ้าน เลี้ยงลูก และดูแลสัตว์เลี้ยง มีเป็ด ไก่ หมู วัว ควาย เป็นต้น นอกจากนั้นก็ทอผ้า ปั่นด้าย เลี้ยงไหม 

บ้านเรือนก็สร้างกันอย่างง่ายๆ พออยู่ได้ ตัดโค่นต้นไม้กันเป็นต้นๆ ใช้ขวานถากไม้ทั้งต้นให้เป็นเสา หรือผ่าครึ่งแล้วถากให้บางเป็นแผ่นกระดาน นำใบไม้หรือไม้ไผ่ มาขัดแตะทำเป็นฝาบ้าน และมุงหลังคาด้วยหญ้าคา 

แต่ละบ้านจะนำไม้ไผ่มาสานเป็นโจรก คือตะกร้าหรือเข่งใบใหญ่ ภาษาเขมรพื้นเมืองเรียกว่า เจียลดอก ใช้สำหรับเก็บข้าวเปลือกไว้ทำพันธุ์หรือไว้กินตลอดปี โจรกแต่ละใบบรรจุข้าวเปลือกได้ถึง ๑๐ เกวียนก็มี บางบ้านก็ทำไว้หลายใบ 

ข้าว และพืชผลสมัยนั้นไม่มีการซื้อขายกัน ใช้วิธีแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันกันตามมีตามเกิด เงินทองไม่มีติดบ้านแม้แต่บาทเดียวก็ไม่เดือดร้อน ครอบครัวไหนทอผ้าห่ม ผ้านุ่งได้มาก หรือมีข้าวเปลือกเก็บสำรองไว้มากก็แบ่งปันครอบครัวอื่นที่ขาดแคลน ให้กู้ยืมไปกินตามความจำเป็น 

ชาวบ้านในสมัยนั้นนับถือผีปีศาจ และเทวดาอารักษ์ อย่างเหนียวแน่น พระสงฆ์องคเจ้า รวมทั้งเจ้าอาวาสบางองค์ก็เป็นผู้มีความชำนาญทางจิตทางวิญญาณ ใช้ไสยศาสตร์ และเวทย์มนต์คาถา มีการปลุกผี ปลุกพระ รักษาไข้ด้วยการเป่า เสก พ่น ประสานกระดูก ต่อกระดูก เซ่นไหว้ บวงสรวง เข้าทรง เรียกขวัญ เป็นต้น 

หยูกยาก็ใช้สมุนไพร ที่ได้เล่าเรียนและถ่ายทอดกันมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งก็เป็นการช่วยดูแลรักษากันได้บ้างตามความเหมาะสม ส่วนใหญ่ก็ได้พึ่งพาอาศัยพระโดยถือว่าพระเป็นผู้รู้กว่าใคร แม้ฆราวาสที่ทำหน้าที่เป็นหมอยาประจำหมู่บ้าน ก็จะเรียนรู้วิธีรักษาโรคเมื่อตอนบวชพระนั่นเอง 

อาหารการกินก็อาศัยผักหญ้าที่หาได้ในละแวกนั้น เกลือ เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดซึ่งขาดไม่ได้ เพราะสมัยนั้นไม่มีกะปิ น้ำปลา หรือสิ่งปรุงรสอย่างอื่น เมื่อชาวบ้านจับปลาได้จะนำมาคลุกผสมกับเกลือ บรรจุไหทำเป็นปลาร้า ปลาจ่อม เก็บไว้ประกอบอาหาร หรือใช้รับประทานกับข้าว 

ครอบครัวไหนมีปลาร้าเต็มไห มีข้าวเปลือกเต็มโจรก ก็ถือว่ามีฐานะพออยู่พอกิน ไม่เดือดร้อน 

การอยู่การกินจึงเป็นไปอย่างง่ายๆ ผ้านุ่ง ผ้าถุง เสื้อผ้า ก็ทอและตัดเย็บกันเอง ผู้หญิงแต่งกายด้วยผ้า ๒ ผืน ผืนหนึ่งเป็นผ้านุ่งกระโจมอก เรียกว่า จอมปุง  อีกผืนใช้ห่มเป็นสไบ ส่วนผู้ชายก็นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวก็ใช้ได้แล้ว ถ้ามีงานพิธีก็นุ่งโสร่งไหม ใส่เสื้อ แล้วมีผ้าขาวม้าพาดบ่าก็เป็นอันเพียงพอ 

เครื่องสำอางสำหรับผู้หญิงก็มีแป้งขาว แป้งดินสอพอง ขมิ้นผสมมะนาว สำหรับประเทืองผิว ส่วนเครื่องประดับก็มีสร้อยคอ แหวน ตุ้มหู กำไลมือ กำไลเท้า ซึ่งมักจะทำด้วยเครื่องเงิน ใช้แต่งในเทศกาลงานบุญต่างๆ 

สตรีสมัยนั้นจะต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ฝึกหัดงานฝีมือ ปั่นด้าย ทอผ้า ฝึกทำกับข้าว เพื่อผูกจิตผูกใจเพศตรงข้าม ญาติผู้ใหญ่จะดูว่า หญิงคนใดจะเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีได้ ก็ดูที่ความละเอียดประณีตของผ้าที่ทอ หรือดูที่ฝีมือการทำกับข้าว และกิริยามารยาททั่วไป 

ฝ่ายชายจะต้องขยันขันแข็งในการทำมาหากิน และต้องผ่านการบวชเรียนเสียก่อนจึงจัดว่าเป็น คนสุก สามารถเป็นผู้นำครอบครัวได้ เพราะการบวชเรียนเป็นการอบรมจิตใจ และฝึกความรู้ต่างๆ ให้เป็นภูมิรู้ภูมิธรรมประดับตน 

นี่คือชุมชนของชาวสุรินทร์ ในสมัยของหลวงปู่ เมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา

หน้าต่อไป