หลวงปู่ถือกำเนิด
ณ บ้านปราสาท ตำบลเฉนียง
อำเภอเมือง
จังหวัดสุรินทร์
เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๔๓๑
ตรงกับแรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๑
ปีชวด
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕
โยมบิดาของท่านชื่อ
นายแดง โยมมารดาชื่อ นางเงิม
นามสกุล ดีมาก
หลวงปู่มีพี่น้อง
๕
คน คนแรกเป็นหญิงชื่อ
กลิ้ง
คนที่สองคือตัวหลวงปู่เอง
ชื่อ ดูลย์ คนที่สามเป็นชายชื่อ
เคน
คนที่สี่และห้าเป็นหญิงชื่อ
รัตน์ และ ทอง พี่น้องทั้ง
๔
คนของท่านมีชีวิตจนถึงวัยชรา
และทุกคนเสียชีวิตก่อนที่จะมีอายุถึง
๗๐ ปี
มีเพียงหลวงปู่เท่านั้นที่ดำรงอายุขัยอยู่จนถึง
๙๖ ปี
พี่น้องของหลวงปู่ได้แยกย้ายไปทำมาหากินในที่ต่างๆ
พอเริ่มมีพระราชบัญญัตินามสกุลออกมาใช้
แต่ละคนก็เลือกใช้นามสกุลตามที่ตนเห็นสมควร
หลวงปู่ใช้นามสกุล ดีมาก
ตามโยมแม่
มาตอนหลังหลวงปู่เปลี่ยนมาใช้นามสกุล
เกษมสินธุ์ ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า
เมื่อท่านไปพำนักเพื่อศึกษาธรรมะที่จังหวัดอุบลราชธานี
ประจำอยู่ที่วัด สุทัศนาราม
ได้หลายปี
หลานชายคนหนึ่งของท่านชื่อพร้อมตามไปอยู่ด้วย
ท่านจึงตั้งนามสกุลให้ว่า
เกษมสินธุ์ แล้วท่านก็เปลี่ยนใช้นามสกุลที่ตั้งใหม่นี้ด้วย
แม้หลวงปู่จะเป็นลูกคนที่สอง
แต่ก็เป็นลูกชายคนโตของครอบครัว
ในช่วงแรกท่านก็ช่วยพี่สาวทำงานบ้าน
ต่อเมื่อโตขึ้นจึงต้องแบกรับภารกิจมากทั้งในบ้านและนอกบ้าน
นับตั้งแต่หาบน้ำ ตำข้าว
หุงข้าว เลี้ยงดูน้องๆ
ไปจนถึงช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนา
และเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย
ในบรรดาคนหนุ่มรุ่นเดียวกันแห่งบ้านปราสาท
หลวงปู่จัดว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดี
ได้เปรียบเพื่อนๆ
ด้านรูปสมบัติ
นอกจากจะมีร่างกายแข็งแรงสุขภาพอนามัยดีแล้ว
ยังมีผิวพรรณหมดจด
รูปร่างโปร่งได้สัดส่วนสมทรง
น่ารักน่าเอ็นดู
มีท่าทางแคล่วคล่องว่องไว
และยังมีอุปนิสัยเยือกเย็น
อ่อนโยน
ความประพฤติเรียบร้อยมาแต่เยาว์
จึงได้รับคำยกย่องชมเชยจากบรรดาญาติพี่น้อง
และผู้ที่ได้พบเห็นโดยทั่วไป
ด้วยเหตุที่ท่านมีรูปร่างงดงามนี่เอง
ท่านเจ้าเมืองสุรินทร์สมัยนั้นจึงมีบัญชาให้นำตัวท่านมาร่วมแสดงละครนอก
โดยเล่นเป็นตัวนางเอก
สำหรับเรื่องราวชีวิตในอดีตนั้น
นานแสนนานกว่าท่านจะเล่าให้ฟังสักครั้งหนึ่ง
เมื่อมีโอกาสดีมีเวลาว่าง
ท่านก็เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ลำดับถึงบุคคลสำคัญๆ
ตลอดจนเครือญาติในสมัยนั้น
หลวงปู่เล่าว่า
ประมาณปี พ.ศ.
๒๔๓๔
พระยาสุรินทรภักดีฯ (ม่วง)
ผู้ที่ชักชวนคุณตาของท่านมาตั้งบ้านเรือนที่บ้านปราสาท
ได้ถึงแก่อนิจกรรม กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงใหญ่
ได้แต่งตั้ง พระพิไชยณรงค์ภักดี
(บุญนาค)
ผู้เป็นน้องชายขึ้นดำรงตำแหน่งแทน
เป็นเจ้าเมืองสุรินทร์ลำดับที่
๖
ตอนที่หลวงปู่อายุประมาณ
๖ ขวบ
ได้เกิดเหตุการณ์สู้รบกับต่างชาติ
นั่นคือกรณีพิพาทเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
เรียกว่า เหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ชายฉกรรจ์ลูกสุรินทร์
๘๐๐ คน
ถูกเกณฑ์เข้ารับการฝึกในกองกำลังรบและส่งไปตรึงแนวรบด้านจังหวัดอุบลราชธานี
ร่วมกับกองกำลังจากเมืองอื่นๆ
เพื่อต่อต้านการรุกรานจากฝรั่งเศส
หลังจากการปะทะกันเล็กน้อย
ก็ตกลงทำสัญญาสงบศึก
หลังจากกรณีพิพาทไม่นาน
พระพิไชยณรงค์ภักดี (บุญนาค)
ก็ถึงแก่กรรม
พระพิไชยนครบวรวุฒิ (จรัญ)
ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองสุรินทร์ลำดับที่
๗
และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น
พระยาสุรินทร์ภักดีศรีผไทสมันต์
เจ้าเมืองคนนี้ถึงแก่กรรมเมื่อหลวงปู่อายุระหว่าง
๑๓-๑๔
ปี กำลังเข้าวัยรุ่น
พระยาพิไชยณรงค์ภักดี
(บุญจันทร์)
ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสุรินทร์ลำดับที่
๘ เป็นที่ พระยาสุรินทร์ภักดีศรีผไทสมันต์
ตามตำแหน่ง
และเจ้าเมืองคนนี้เองที่บัญชาให้นำตัวท่านมาเล่นละคร
หลวงปู่เล่าย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งท่านเล่นเป็นนางเอกละครว่า
สมัยนั้นคนนิยมดูละครกันมาก
สมัยนั้นมีธรรมเนียมอยู่ว่า
ถ้าเป็นละครของเจ้าเมืองในหัวเมือง
ต้องเอาผู้ชายแสดงทั้งหมด
โดยสมมติเป็นพระเป็นนางเอา
แต่ถ้าเป็นละครหลวง
หรือละครของพระเจ้าแผ่นดิน
ผู้แสดงต้องเป็นผู้หญิงล้วน
สมมติเป็นพระเป็นนางเอาเหมือนกัน
เรื่องที่หลวงปู่เคยแสดงก็มีเรื่อง
ไชยเชษฐ์ ลักษณวงศ์ จันทรกุมาร
เป็นต้น
จำได้ชื่อหนึ่งว่า
ท่านเคยแสดงเป็นนาง
ชื่อนางรัมภา
ไม่ทราบว่าอยู่ในวรรณคดีเรื่องใด
จากที่หลวงปู่เล่า
พอจะสรุปได้ว่าคนสมัยโน้นกับคนสมัยนี้
มักจะคลั่งดาราเหมือนกัน
ท่านเล่าว่า
ครั้งหนึ่งหลังจากที่จบการแสดงแล้ว
มีหญิงสาวคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาหาหลวงปู่ในห้องแต่งตัว
คงคิดจะทอดไมตรีผูกเป็นมิตรสหายกัน
นับว่าแก่นกล้ามิใช่น้อย
สำหรับสภาพสังคมสมัยนั้น
ขณะนั้น
นางเอกละครของเรากำลังถอดเครื่องทรงออกทีละชิ้น
ทั้งแท้ทั้งเทียม
แม่สาวคนนั้นถึงกับตะลึงเมื่อทราบว่าท่านเป็นชาย
เธออายมากรีบกระโดดลงจากเวที
วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วเหมือนกระต่ายป่า
นี่แสดงว่า
หลวงปู่ของเราก็มีความสามารถในการแสดงไม่เบา
ผู้หญิงแท้ๆ
ยังคิดว่าท่านเป็นผู้หญิงจริงๆ
แต่เมื่อเห็นท่านเป็นชายจึงรีบหนีไป
จากเหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า
เด็กหนุ่มเด็กสาวสมัยนั้นเขามีจิตสำนึกในอันที่จะป้องกันมิให้เกิดความเสื่อมเสีย
และระวังในเรื่องระหว่างเพศเป็นอย่างดี
ไม่ให้เกิดความมัวหมองในความเป็นหนุ่มสาวของตน
มิฉะนั้นจะถูกดูหมิ่นดูแคลนจากสายตาของสังคม
หลวงปู่ยืนยันว่า
ตลอดชีวิตของท่านมีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ไม่เคยพ้องพานแตะต้องสตรีเพศเลยแม้แต่น้อย
ตราบเท่าเข้าสู่เพศพรหมจรรย์
ดำรงชีพอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งผ้ากาสาวพัสตร์รวดเดียวตลอดชั่วอายุขัย
เมื่อ
พ.ศ.
๒๔๔๘
หลวงปู่อายุประมาณ ๑๘ ปี
ได้ลงไป บางกอก เมืองหลวงของประเทศเป็นครั้งแรก
เพื่อไปซื้อเครื่องแต่งละคร
เพราะตัวนางเอกต้องมาลองเครื่อง
เลือกเครื่อง
ให้ได้เหมาะเจาะสมตัว
หลวงปู่เดินทางด้วยช้างจากเมืองสุรินทร์
ใช้เวลา ๔ วัน ๔ คืน
จึงถึงเมืองโคราช
พักช้างไว้ที่นั่น
แล้วขึ้นรถไฟต่อเข้ากรุงเทพฯ
ใช้เวลาเดินทางอีก ๑ วัน
ในสมัยนั้นรถไฟมีเดินแค่
กรุงเทพฯ-โคราช
เท่านั้น
เมื่อลงรถไฟที่สถานีหัวลำโพงแล้ว
เห็นเมืองบางกอกสมัยนั้นไม่มีตึกรามบ้านช่องหรือผู้คนมากมายอะไร
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน
เมื่อปวดท้องหนักท้องเบาก็สามารถแวะเข้าป่าสะแก
หรือป่าสาบเสือข้างทางได้อย่างสบาย
น้ำท่าแต่ละลำคลองก็ใสสะอาดดี
อาบดื่มได้อย่างสนิทใจ
เมื่อกลับถึงสุรินทร์แล้วก็ทำให้รู้สึกกระหยิ่มใจว่ามีบุญวาสนามิใช่น้อย
ที่ได้ไปเห็นบางกอกด้วยสายตาตนเอง
หลวงปู่จึงมีเรื่องเล่าให้ผู้อื่นฟังอยู่เสมอ
เพราะเหตุว่าน้อยคนนักที่จะมีโอกาสวาสนาได้ไปเห็นกรุงเทพฯ
ในสมัยนั้น