ช่วงที่อยู่ในคณะละครนี่เอง
ท่านได้มีโอกาสเรียนรู้หนังสือไทย
พออ่านเขียนได้บ้างจากเพื่อนในคณะ
ทั้งนี้เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน
คนที่อยากเรียนหนังสือจึงต้องบวชเรียน
หรือไม่ก็ต้องเดินทางไปแสวงหาความรู้ที่บางกอกเมืองหลวงเท่านั้น
หลวงปู่อยู่กับคณะละครถึง
๔ ปีเศษ
แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใครๆ
ก็ต้องรู้สึกว่าน่าเพลิดเพลินและน่าลุ่มหลงเป็นอย่างยิ่ง
เพราะนอกจากจะอยู่ในวัยกำลังงามแล้ว
ท่านยังเป็นนักแสดงที่มีผู้นิยมชมชอบมากอีกด้วย
ถึงกระนั้นหลวงปู่ของเราก็มิได้หลงใหลกับสิ่งเหล่านั้นเลย
ตรงกันข้าม
ท่านกลับมีอุปนิสัยโน้มเอียงไปทาง
เนกขัมมะ คืออยากออกบวช
หลวงปู่ได้พยายามขออนุญาตบวชจากบิดามารดาหลายครั้ง
แต่ก็ถูกคัดค้านเรื่อยมา
เนื่องจากขาดกำลังสำคัญที่จะช่วยแบ่งเบาภาระการงานของครอบครัว
เพราะท่านเป็นบุตรชายคนโต
เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของบ้าน
หลวงปู่เฝ้าอ้อนวอนขออนุญาตลาบวชหลายครั้ง
จนในที่สุด
บิดามารดาไม่อาจขัดขวางความตั้งใจจริงของท่านได้
จึงได้อนุญาตให้บวชตามความปรารถนา
แต่บิดาก็ได้กล่าวในน้ำเสียงที่ออกจะเป็นการประชดว่า
ถ้าบวชแล้วต้องไม่สึก
หรืออย่างน้อยต้องให้ได้เป็นเจ้าอาวาส
ความจริงคุณปู่ของท่านเคยบวชและได้เป็นเจ้าอาวาสมาแล้ว
ด้วยเหตุนี้กระมัง
ที่มีส่วนส่งเสริมอุปนิสัยของท่านให้โน้มเอียงไปทางบรรพชาตั้งแต่เยาว์วัย
คือมีอุปนิสัย รักการบุญ
และเกรงกลัวบาป
มิได้เพลิดเพลินคึกคะนองไปในวัยหนุ่มเหมือนคนทั่วๆ
ไป
เมื่อหลวงปู่ได้รับอนุญาตให้บวชเมื่อท่านอายุได้
๒๒ ปี
พวกตระกูลเจ้าเมืองที่เคยชุบเลี้ยงท่านได้เป็นผู้จัดแจงเรื่องการบวชให้ครบถ้วนทุกอย่าง
หลวงปู่ได้เข้าอุปสมบทก่อนเข้าพรรษา
เมื่อ พ.ศ.
๒๔๕๓
ณ พัทธสีมา วัดจุมพลสุทธาวาส
ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองรอบนอกของจังหวัดสุรินทร์ในสมัยนั้น
โดยมีท่าน พระครูวิมลสีลพรต
(ทอง)
เป็นพระอุปัชฌาย์
ท่านพระครูบึก เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และ ท่านพระครูฤทธิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ในการอุปสมบทครั้งนี้
ท่านอุปสมบทในคณะ มหานิกาย
ทั้งนี้เพราะ
คณะธรรมยุต
ในสมัยนั้นยังไม่มีในจังหวัดสุรินทร์
หลวงปู่ได้รับฉายาว่า
อตุโล หมายถึง
ผู้ไม่มีใครเทียบได้
นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ก็เท่ากับเป็นบาทก้าวแรกแห่งการแสวงหาความจริง
บนเส้นทางธรรมของ หลวงปู่ดูลย์
อตุโล อันเป็นความจริงที่นำไปสู่การดับทุกข์อย่างถึงที่สุดและสิ้นเชิง