เมื่อได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว
หลวงปู่มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะศึกษาธรรมให้ยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
เมื่อดำริอย่างนั้นจึงได้ไปขอจำพรรษาที่วัดบ้านคอโค
ตำบลคอโค
ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของท่านไปทางตะวันตก
ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ออกไปประมาณ
๑๐ กิโลเมตร
ต้องเดินทางด้วยเท้าฝ่าป่ารกชัฏไป
ที่วัดคอโคได้ชื่อว่าเป็นวัดที่สอนการเจริญกัมมัฏฐานของจังหวัดสุรินทร์
ในสมัยนั้น มี หลวงพ่อแอก เป็นเจ้าอาวาส
และเป็นครูฝึกกัมมัฏฐานท่านแรกสำหรับหลวงปู่
การสอนพระกัมมัฏฐานและการอบรมความรู้ด้านพระศาสนา
เมื่อสมัย ๘๐ ปีที่แล้ว
เป็นการกระทำไปตามมีตามเกิด
ถือความเห็นของครูอาจารย์เป็นหลัก
วิธีสอนกัมมัฏฐานของ
หลวงพ่อแอก ในครั้งนั้น
ท่านให้เริ่มต้นด้วยการจุดเทียนขึ้นมา
๕ เล่ม แล้วนั่งบริกรรมว่า ขออัญเชิญปีติทั้ง
๕ จงมาหาเรา บริกรรมไปจนกว่าเทียนจะไหม้หมด
จัดว่าเป็นกุศโลบายที่แยบยลเท่าที่มีในสมัยนั้น
หลวงปู่ได้พากเพียรปฏิบัติตามคำชี้แนะของพระอาจารย์อย่างเคร่งครัด
ใช้ความอุตสาหะและพยายามท่องบ่นบริกรรมไปจนตลอดพรรษาโดยมิได้ลดละ
แต่ก็ไม่บังเกิดผลอันใด
จนแล้วจนรอด
ความรู้สึกอิ่มใจ
ความดื่มด่ำที่เรียกว่า ปีติทั้ง
๕
ก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นในดวงหทัย
ไม่ว่าจะเป็น
ขุททกาปีติ คือปีติเล็กน้อยพอขนชูชัน
น้ำตาไหล
หรือ
ขณิกาปีติ ได้แก่
ปีติชั่วขณะ
ทำให้รู้สึกแปลบๆ
เป็นขณะๆ ดุจฟ้าแลบ
หรือ
โอกกันติกาปีติ ได้แก่
ปีติเป็นระลอก
หรือปีติเป็นพักๆ
ให้รู้สึกซ่าลงมาในกายดุจคลื่นซัดต้องฝั่ง
หรือ
อุพเพงคาปีติ คือ
ปีติโลดลอยเป็นอย่างแรง
ให้รู้สึกใจฟู
แสดงอาการบางอย่างโดยมิได้ตั้งใจ
เช่น เปล่งอุทาน หรือ
ให้รู้สึกตัวเบาโลดลอยขึ้นมาในอากาศ
เป็นต้น
ตลอดจน
ผรณาปีติ คือ
ปีติซาบซ่าน
ให้รู้สึกเย็นซ่านเอิบอาบไปทั่วสรรพางค์
อันเป็นปีติที่ประกอบกับสมาธิกระทั่งนำไปสู่จิตรวม
หลวงปู่เคยกล่าวถึงจิตรวมว่า
"เมื่อจิตรวมสงบแล้ว
คำบริกรรมก็หลุดหายไปเอง
แล้วก็ถึงรอยเดียวกัน
รสเดียวกัน
คือมีวิมุติเป็นแก่น
มีปัญญาเป็นยิ่ง"
การเพียรพยายามของหลวงปู่ตลอดทั้งไตรมาสในครั้งนั้น
ไม่บังเกิดผลเลย
ได้เห็นแต่เทียน ๕ เล่ม
มิได้บังเกิดปีติทั้ง ๕
ตามความปรารถนา
หลวงปู่ได้ให้ข้อสังเกตในภายหลัง
เมื่อท่านผ่านการปฏิบัติกระทั่งได้พบธรรมะในใจแล้ว
ท่านให้ข้อสรุปจากประสบการณ์แห่งธรรมปฏิบัติของท่านว่า
"การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น
จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้
เพราะผลมันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว
ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้หลายแนวนั้น
เพราะจริตของคนไม่เหมือนกัน
จึงต้องสร้างวัตถุ สี แสง
และคำสำหรับบริกรรม
เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน"
นอกจากหลวงปู่จะฝึกบริกรรมเพื่ออัญเชิญปีติทั้ง
๕ ตามที่กล่าวแล้ว
ท่านยังทดลองฝึกทรมานร่างกายเพื่อเผาผลาญกิเลสในตัว
เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
ด้วยการเข้มงวดกวดขันในการขบฉันอาหาร
โดยลดจำนวนคำข้าวที่ฉันให้น้อยลงไปเรื่อยๆ
เช่น วันก่อนเคยฉัน ๑๐ คำ
วันต่อมาลดเหลือ ๙
คำ ๘ คำ ลดลงไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งร่างกายซูบผอม
ยามลุกขึ้นเดินก็โซเซ โงนเงน
ไม่มีเรี่ยวแรง
เมื่อฝึกทรมานร่างกายด้วยการอดอาหารติดต่อกันหลายวัน
หลวงปู่ก็พบว่ามิได้มีผลอะไร
นอกจากร่างกายซูบผอมอ่อนโรยพลัง
ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจเลิก
แล้วก็กลับมาฉันอาหารดังเดิม
นอกจากปฏิบัติกัมมัฏฐาน
และฝึกทรมานร่างกายตามวิถีแห่งโยคะแล้ว
หลวงปู่ก็ได้ท่องบ่นบทสวดมนต์
เจ็ดตำนาน บ้าง สิบสองตำนาน
บ้าง
แต่มิได้เรียนพระธรรมวินัย
ซึ่งถือเป็นข้อวัตรปฏิบัติเพื่อฝึกฝนขัดเกลากาย
วาจา ใจ
เพื่อให้เป็นรากฐานของสมาธิภาวนา
หลวงปู่ไม่ทราบเรื่องนี้
เพราะไม่ได้รับการบอกกล่าวแต่อย่างใด
นอกจากนี้
ระหว่างที่อยู่ที่นั่นท่านยังถูกใช้ให้สร้างเกวียน
และเลี้ยงโคอีกด้วย
ท่านจึงเกิดความรู้สึกสลดสังเวช
และเกิดความเบื่อหน่าย
แต่ท่านก็อดทนอยู่ได้นานถึง
๖ พรรษา