ในช่วงทศวรรษที่
๒๔๕๐
ตลอดทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การศึกษาในแวดวงสงฆ์คึกคักอย่างยิ่งที่จังหวัดอุบลราชธานี
ทั้งนี้ด้วยการริเริ่มสร้างสรรค์ของท่านเจ้าประคุณ
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท
จันทร์)
และด้วยการสานเสริมเติมต่อของพระเดชพระคุณ
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสสเถระ)
จนกล่าวได้ว่าจังหวัดอุบลราชธานี
เป็นทิศาปาโมกข์ของผู้รักการเรียนในพระปริยัติโดยแท้
ในปี
พ.ศ.
๒๔๕๘
ขณะที่หลวงปู่ดูลย์ยังพำนักที่วัดบ้านคอโค
ท่านก็ได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับการสอนการเรียนพระปริยัติที่จังหวัดอุบลราชธานี
ตามแบบของมหามกุฎราชวิทยาลัยแห่งวัดบวรนิเวศวิหาร
หลวงปู่มีความปีติอย่างล้นพ้นเมื่อได้ทราบข่าวนี้
และมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะได้เดินทางไปศึกษายังจังหวัดอุบลฯ
หลวงปู่ได้เพียรขออนุญาตพระอุปัชฌาย์ที่จะเดินทางไปศึกษา
แต่ก็ถูกทัดทานในเบื้องต้น
เพราะในระยะนั้นการเดินทางจากสุรินทร์ไปอุบลราชธานีลำบากยากเข็ญเป็นอย่างยิ่ง
หลวงปู่เพียรขออนุญาตหลายครั้ง
เมื่อพระอุปัชฌาย์เห็นความมุ่งมั่นของหลวงปู่
จึงได้อนุญาต
ท่านได้ออกเดินทางไปกับพระภิกษุอีก
๒ องค์ คือ พระคง และ พระดิษฐ์
เมื่อท่านได้เดินทางไปถึงอุบลราชธานี
หลวงปู่ต้องประสบปัญหาในเรื่องที่พัก
เนื่องจากหลวงปู่บวชในมหานิกาย
ขณะที่ วัดสุปัฏนาราม และ
วัดสุทัศนาราม แหล่งศึกษาพระปริยัติธรรมนั้นเป็นวัดฝ่ายสงฆ์ธรรมยุต
โชคดีที่ได้พบ
พระมนัส
ซึ่งได้เดินทางมาเรียนอยู่ก่อนแล้ว
ได้ให้ความช่วยเหลือฝากให้อยู่อาศัยที่
วัดสุทัศนารามได้
แต่ในฐานะพระอาคันตุกะ
ทำให้ความราบรื่นในทางการเรียนค่อยบังเกิดขึ้นเป็นลำดับ
การเล่าเรียนพระปริยัติธรรมในช่วงปี
พ.ศ.
๒๔๕๐
กว่าๆ นั้น
เป็นไปอย่างเข้มงวด การไล่ หรือการสอบพระธรรมบทหรือวินัยมุขต่างๆ
นั้น
ผู้สอบจะถูกไล่เรียงซักถามเป็นรายตัวตามเนื้อหาที่เรียนมาเป็นบทๆ
จนจบ
ผู้ที่สอบได้จึงถือได้ว่าเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความเพียรพยายามอย่างที่สุด
หลวงปู่สามารถสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรนักธรรมชั้นตรี
นวกภูมิ
เป็นรุ่นแรกของจังหวัดอุบลราชธานี
นับเป็นความสำเร็จอย่างสูงในสมัยนั้น
นอกจากนี้หลวงปู่ยังได้เรียนบาลีไวยากรณ์
(มูลกัจจายน์)
ด้วย
เพราะความหมายแห่ง บาลี คือภาษาที่ได้จดจำและจารึกรักษาพุทธพจน์แต่เดิมมา
อันเป็นหลักในทางพระพุทธศาสนา
ดังนั้น
การศึกษาเล่าเรียนในทางปริยัติธรรม
โดยเนื้อแท้ก็คือการศึกษาภาษาบาลีนั่นเอง
หลวงปู่ได้เรียนบาลีไวยากรณ์
จนสามารถแปลพระธรรมบทได้
แม้จะนำความรู้ในระดับ
นักธรรมตรี ไปเทียบกับ
เปรียญธรรม ๙ ประโยค ซึ่งเป็นคุณวุฒิสูงสุดในทางปริยัติธรรม
อาจถือได้ว่าห่างไกลกันเป็นอย่างยิ่ง
เหมือนกับนำความรู้ระดับชั้นประถมปีที่
๑
ไปเทียบกับปริญญาเอกก็น่าจะได้
แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ
การศึกษาในทางปริยัติธรรมของหลวงปู่นั้น
เกิดขึ้นในทศวรรษ ๒๔๕๐
เช่นเดียวกับการศึกษาในทางโลกเมื่อประมาณ
๘๐ ปีก่อน
การได้เรียนถึงประถมปีที่
๑ หรือ ๒
ก็นับว่ายอดเยี่ยมล้ำเลิศแห่งยุคสมัยแล้ว
ภายหลังต่อมา
เมื่อหลวงปู่มีพรรษาแก่กล้า
ผ่านประสบการณ์ด้านธรรมปฏิบัติมามาก
และมาตั้งโรงเรียนสอนปริยัติธรรมที่วัดบูรพาราม
จังหวัดสุรินทร์แล้ว
คราวหนึ่งที่นักเรียนของท่าน
มีพระภิกษุสอบเปรียญธรรม
๙ ประโยคได้เป็นองค์แรก
และในงานฉลองพัดประโยค ๙
ในครั้งนั้น
หลวงปู่ได้ให้โอวาทในเชิงปรารภธรรมว่า
ผู้ที่สามารถสอบเปรียญ
๙ ประโยคได้นั้น
ต้องมีความเพียรอย่างมาก
และมีความฉลาดเพียงพอ
เพราะถือว่าเป็นการจบหลักสูตรฝ่ายปริยัติ
และต้องแตกฉานในพระไตรปิฎก
การสนใจในทางปริยัติอย่างเดียวพ้นทุกข์ไม่ได้
ต้องสนใจปฏิบัติทางจิตต่อไปอีกด้วย
โดยไม่ต้องตั้งคำถามว่า
ทำไม หลวงปู่ก็ให้คำอธิบายสั้นๆ
ว่า
"พระธรรมทั้ง
๘๔,๐๐๐
พระธรรมขันธ์นั้น
ออกไปจากจิตของพระพุทธเจ้าทั้งหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างออกจากจิตใจ
อยากรู้อะไรค้นได้ที่จิต"
ที่หลวงปู่กล่าวเช่นนี้
มิได้หมายความว่าหลวงปู่จะมองข้ามบทบาทและความหมายของปริยัติ
เนื่องเพราะการศึกษาในทางปริยัตินั้นเป็นรากฐาน
หรือสะพานอันก่อให้เกิดความรู้
ที่จะเชื่อมโยงไปสู่ความเข้าใจในธรรมะ
แต่จะขาดการปฏิบัติไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ปริยัติเพียงอย่างเดียวพ้นทุกข์ไม่ได้
ปัจจัยชี้ขาดโดยแท้จริงอยู่ที่การปฏิบัติทางจิต