เมื่อมาพำนักที่วัดบูรพาราม
จังหวัดสุรินทร์ ในปี พ.ศ.
๒๔๗๗ แล้ว หลวงปู่ดูลย์
อตุโล ได้รับแต่งตั้งให้เป็น
เจ้าคณะอำเภอรัตนบุรี อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ครั้นได้โอกาสอันสมควร
ก็เริ่มงานบูรณะปฏิสังขรณ์วัดบูรพารามทันที
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙
หลวงปู่เริ่มงาน สร้างพระอุโบสถแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก
เป็นแห่งแรกของจังหวัดสุรินทร์
และนับเป็นพระอุโบสถที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดสุรินทร์ด้วย
มีประโยชน์ใช้สอยมากที่สุด
แต่ใช้งบประมาณน้อยที่สุด
เพราะแรงงานส่วนใหญ่ได้อาศัยชาวบ้าน
และพระภิกษุ เณรช่วยกัน
โดยหลวงปู่เป็นผู้คิดแบบแปลนด้วยตัวท่านเอง
การสร้างพระอุโบสถแห่งนี้
เสร็จเรียบร้อยเมื่อปี พ.ศ.
๒๔๙๓
ใช้เวลาก่อสร้างรวมทั้งสิ้น
๑๔ ปี
ในการสร้างพระอุโบสถหลังนี้
นอกจากอาศัยความสามารถและบารมีของหลวงปู่แล้ว
ยังได้อาศัยกำลังสำคัญของศิษยานุศิษย์อีกหลายท่าน
ที่สำคัญได้แก่
๑. พระมหาโชติ คุณสมฺปนฺโน
ต่อมาเป็นที่ พระเทพสุทธาจารย์
เจ้าอาวาสวัดวชิราลงกรณ์
อำเภอปากช่อง
จังหวัดนครราชสีมา (มรณภาพเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๑๘)
๒. พระมหาเปลี่ยน โอภาโส ต่อมาเป็นที่
พระโอภาสธรรมภาณ
เจ้าอาวาสวัดป่าโยธาประสิทธิ์
อำเภอเมือง
จังหวัดสุรินทร์ (ในปัจจุบัน-พ.ศ.๒๕๓๘-พำนักอยู่ที่วัดบูรพาราม)
๓. พระอาจารย์สาม อกิญฺจโน
วัดป่าไตรวิเวก
ตำบลนาบัว อำเภอเมือง
จังหวัดสุรินทร์ (มรณภาพเมื่อ
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔)
พระโพธินันทมุนี (อดีตพระครูนันทปัญญาภรณ์)
ลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่
ได้เล่าถึงการต่อสู้ของหลวงปู่ในการพัฒนาวัดในยุคเริ่มแรก
และการสร้างพระอุโบสถ
จะว่าใหญ่ที่สุดในยุคก่อนของภาคอีสานก็ได้
ด้วยการก่ออิฐถือปูน
เทคอนกรีตเป็นหลังแรก
ผู้คนในสมัยนั้นก็แตกตื่นมาดู
"โบสถ์วัดบูรพ์"
"วัดบูรพ์" ในสมัยก่อนก็ดังไปทั่ว
เพราะแม้แต่อิฐแต่ปูน
คนแถวนั้นก็ไม่เคยเห็น
หลวงปู่ท่านก็ทำ
ความพยายามของท่านจึงเป็นการต่อสู้อย่างยิ่ง
ซึ่งในตอนหลังก็มี หลวงปู่สาม
มาช่วยอีกแรงหนึ่ง
เป็นกำลังสำคัญให้โบสถ์สำเร็จลงได้
สมัยก่อนการบอกบุญเรี่ยไรเป็นการยากลำบากจริงๆ
หลวงปู่ท่านว่าบางทีพระเดินบอกบุญเรี่ยไรเงิน
๒ หมู่บ้านแล้วยังได้แค่ ๒
สตางค์เท่านั้น (ไม่ใช่ ๒
บาท แต่เป็น ๒
สตางค์เท่านั้น)
พระต้องเดินบอกบุญไปหลายวันจึงจะรวบรวมปัจจัยได้
๑ บาท อย่างนี้ก็มี
การบอกบุญในสมัยนั้นจึงได้ให้ประชาชนบริจาคเป็นข้าวเปลือก
ได้อาศัยข้าวเปลือก
ถ้าขอให้ชาวบ้านบริจาคเป็นเงินสดก็จะได้เพียงหมู่บ้านละ
๒-๓ สตางค์ เท่านั้น
คงไม่ไหว
ขณะนั้นปูนซีเมนต์ก่อสร้างราคาถุงละ
๘๐ สตางค์ ไปถึง ๑ บาทกว่า
แล้วในสมัยนั้น
ซีเมนต์สีแดงๆ
ไม่มีคุณภาพเท่าไร
หลวงปู่เล่าบอกว่า
การบริจาคได้จากการเรี่ยไรข้าวเปลือก
เมื่อทำดังนั้นทุกคนทุกบ้านก็มีข้าวเปลือกด้วยกันทั้งนั้น
เขาจึงเอาข้าวเปลือกมาบริจาคคนละกระบุงคนละกระเชอ
ถ้าตีราคากระเชอละ ๑๓-๑๔
สตางค์ ก็จะดีกว่าขอบริจาคเป็นเงิน
และจะได้ทุกบ้าน
เมื่อได้ข้าวเปลือกมาก็จะทำให้มองเห็นเงินสด
ร้อยบาทบ้าง
สองร้อยบาทบ้าง
หรือบางทีก็ได้ถึงพันแต่ละปี
ก็นำเงินมาสร้างโบสถ์
เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ.
๒๔๘๙
มาเสร็จเรียบร้อยเมื่อปี
๒๔๙๓
ลองคิดดูใช้เวลากี่ปี
นี่หลวงปู่ได้ต่อสู้เรื่องสร้างโบสถ์มากับหลวงปู่สาม
พอสร้างโบสถ์ วัดบูรพ์เสร็จแล้ว
หลวงปู่สามท่านจึงออกท่องเที่ยวธุดงค์ไปเป็นเวลานาน
นี่คือชีวิตการต่อสู้ของครูบาอาจารย์ในสมัยก่อน
กว่าจะสำเร็จ
สำหรับอิฐนั้นไม่มีขาย
พระเณรในวัด
และชาวบ้านช่วยกันเหยียบเอง
และทำเตาเผาเองทั้งหมด
แล้วใช้ไม้ทางโรงเลื่อยมาช่วย