ประวัติและปฏิปทา

หน้าแรก ประวัติและปฏิปทา ธรรมและคำสอน รูปภาพ

โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

๓๙. หลวงพ่อพระประธาน

สำหรับพระประธานในโบสถ์ของวัดบูรพารามนั้น เป็น พระพุทธชินราชจำลอง หล่อด้วยโลหะทองเหลือง หล่อเสร็จเมื่อ วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๔๙๐ โดยมี พระครูคุณสารสัมบัน (โชติ คุณสมฺปนฺโน) พระครูนวกิจโกศล (เปลี่ยน โอภาโส) กับคณะสงฆ์ ประชาชนชาวสุรินทร์ร่วมกันสร้าง หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นประธานดำเนินงาน

ท่านเจ้าคุณ พระโพธินันทมุนี ได้เล่าถึงเหตุอัศจรรย์เกี่ยวกับการสร้างพระประธานว่า

ในส่วนนี้มันก็แปลก มีส่วนที่อาตมาว่าแปลก เท่าที่อาตมาอยู่กับท่านเห็นว่า ท่านมีความเกี่ยวพันกับน้ำฝนหลายครั้ง จะว่าเป็นเรื่องฤทธิ์หรือไม่ก็ไม่ทราบ เมื่อหล่อพระพุทธรูป พระประธานที่ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ

เป็นพระพุทธรูปหล่อ ถือเป็นการจัดงานหล่อพระพุทธรูปครั้งแรกในจังหวัดสุรินทร์ เหตุการณ์ครั้งนั้นโด่งดังไปทั่วจังหวัด คือ เมื่อมีการสร้างพระอุโบสถใกล้จะเสร็จแล้ว มีการหล่อพระประธานก็คือ หล่อพระพุทธชินราชจำลองแบบสมัยใหม่ องค์ที่เป็นพระประธานไว้ในพระอุโบสถ ด้วยการเชิญช่างหล่อมาทำการหล่อที่จังหวัดสุรินทร์

ประชาชนให้ความสนใจเป็นอันมาก ได้ส่งข้าวของมาช่วย ไม่ว่าจะเป็นทองเหลือง ทองแดง อะไรต่างๆ มาเยอะแยะ เสร็จแล้วก็ประกอบพิธีขึ้น

ในสมัยที่เงินทองกำลังหายาก ก็มีชื่อโด่งดังว่า ในพิธีจัดงานนี้ ได้เงินบริจาคสูงถึงแปดหมื่นบาท เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ สามารถรวบรวมเงินทอง โดยชาวบ้านไปทำบุญกับหลวงปู่เพื่อหล่อพระประธาน

การสร้างพระประธานใช้เงิน ๓ หมื่นบาทในขณะนั้นได้รับเงินบริจาคถึง ๘ หมื่นบาท ก็มีเหตุอัศจรรย์ฟ้าผ่า ๘ ทิศให้ปรากฏ ความจริงเรื่องอัศจรรย์ต่างๆ หลวงปู่ไม่ได้ให้ความสนใจ

อาตมาก็ไม่นิยมเรื่องอัศจรรย์ทำนองนี้ แต่ที่จะพูดไม่ใช่จุดนี้ ไม่ใช่เรื่องนี้ คือจะพูดจุดตรงที่ว่า เมื่อหล่อพระประธานเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นอาตมาบวชเณรแล้วนะ หล่อพระประธานได้เรียบร้อยแล้ว ก็จะอัญเชิญเข้าประดิษฐานในโบสถ์ตามวันที่กำหนด

หลวงปู่ก็เชิญผู้ว่าราชการจังหวัด (สมัยนั้นเรียกว่า ข้าหลวง) และบุคคลสำคัญอื่นๆ ของจังหวัด เช่น เทศมนตรี ข้าราชการฝ่ายต่างๆ เพื่อแจ้งให้คณะกรรมการทราบว่าวันที่เท่านั้นๆ จะยกพระประธานขึ้นประดิษฐานบนแท่นในโบสถ์ ขอให้มาช่วยกัน มาร่วมมือกันให้มากหน่อย

พวกเขาเหล่านั้นกราบเรียนหลวงปู่ว่า พระพุทธรูปองค์สำคัญขนาดนี้ไม่ควรทำอย่างเงียบๆ ควรจะแห่รอบเมืองเสียก่อน จัดขบวนแห่ให้สวยงามและยิ่งใหญ่เป็นกรณีพิเศษ

หลวงปู่บอกว่า "ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องแห่หรอก มันจะเป็นการลำบาก และกีดขวางถนนหนทาง เมื่อหล่อเรียบร้อยแล้ว ก็อาราธนานิมนต์ท่านประดิษฐานในโบสถ์เลย" ท่านตกลงอย่างนี้

ทีนี้เมื่อหลวงปู่ตกลงตัดบทอย่างนี้แล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็มาประชุมกันต่างหาก และตกลงกันว่าจะแห่ "เมื่อหลวงพ่อไม่ให้แห่ก็เรื่องของหลวงพ่อคงไม่เป็นไร พวกเราเห็นควรแห่ ก็คงไม่เป็นไร"

ตกลงคณะกรรมการวัด และข้าราชการ ตกลงจัดขบวนแห่ หลวงปู่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรปล่อยไปตามเรื่องของเขา

พอถึงวันแห่ ผู้คนมาร่วมอย่างมากมาย สมัยนั้นก็มีพวกญวนอพยพก็มาร่วมด้วยจำนวนมาก จัดขบวนแห่กันอย่างมโหฬาร มีการแต่งตัวตามแบบโบราณบ้าง ตามแบบสมัยใหม่บ้าง คนแตกตื่นมาร่วมกันมาก

แล้วก็ยกพระประธานขึ้นรถ ตอนนั้นดูเหมือนจะใช้รถยนต์คันเก่าๆ ของเทศบาล ยกพระประธานขึ้นรถเรียบร้อย พอจะได้เวลาแห่ กำลังจะเคลื่อนขบวนกันก็ขอเลื่อนเวลาออกไปหน่อย เนื่องจากจะออกขบวนกันตั้งแต่เที่ยงก็ร้อนไป เพราะเป็นเดือนพฤษภาคม วันขึ้น ๑๔ ค่ำ ก็มาเปลี่ยนเวลาไปตอนบ่าย ให้หายร้อนสักหน่อย

ขบวนแห่ทุกอย่างก็เตรียมพร้อม หลวงปู่ท่านอยู่ในกุฏิ ไม่ได้ออกมาดูเลย พวกเขาก็จัดการกันเอง คนร่วมพิธีอย่างเนืองแน่น เตรียมจะเคลื่อนขบวนออกไปทางหน้าวัด ทางตะวันออก

ทุกคนมัวแต่กุลีกุจอ ไม่ได้หันหน้าไปดูทางด้านตะวันตก ปรากฏว่าเมฆฝนตั้งเค้าบนท้องฟ้าด้านตะวันตก พอเริ่มจะเคลื่อนขบวนเท่านั้น ทั้งฝนทั้งลมก็มาอย่างหนักทั่วทิศ ลมก็แรง ต่างคนต่างก็หนีฝนขึ้นศาลาบ้าง เข้าโบสถ์บ้าง หลบใต้ถุนกุฏิบ้าง

ต้นไม้หักระเนระนาด หลายคนหาที่หลบฝนไม่ทัน เพราะคนมันมากอาคารสถานที่ไม่พอ ก็พากันกางร่ม แล้วถูกลมพัดกระจัดกระจายหมด

ฝนตกนานเกือบ ๒ ชั่วโมง ยังไม่หยุด พอฝนหยุดก็ค่ำมืดพอดี ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับโดยอัตโนมัติ

คนที่แต่งหน้าแต่งตามาสวยงามเพื่อเข้าขบวน ก็เสียหายหมด แป้งทาหน้าในสมัยก่อนสงสัยว่าจะสู้ทุกวันนี้ไม่ได้ แป้งมันไหลลงมายังกับอาคารรั่วแล้วสีมันเลอะออกมาอย่างนั้นแหละ แล้วร่มกระดาษที่ประชาชนเอามากาง ก็ถูกลมพัดเอาไปหมด เหลืออยู่แต่ด้าม เหมือนกับพากันถือไม้ตะพด เพราะลมมันหอบเอาไปหมด ก็พากันเดินกลับบ้านไป ทุกอย่างจบสิ้น ไม่มีใครพูดถึงเรื่องการแห่พระอีก

รุ่งเช้า หลวงปู่ก็ให้เรียกพระเณรมารวมกัน รวมทั้งญาติโยมที่มาวัดในเช้านั้น ช่วยกันยกพระประธานขึ้นประดิษฐานบนรัตนบัลลังก์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์หนึ่งในกรณีฝนตก ซึ่งจะเห็นว่า เหตุการณ์สำคัญๆ ในชีวิตของหลวงปู่ผูกพันกับฝนตกหลายครั้งหลายครา จนลูกศิษย์ลูกหาสงสัยกันว่า หลวงปู่มีวิบากอะไรผูกพันกับฝนก็ไม่ทราบ แต่ไม่เคยมีใครกราบเรียนถามหลวงปู่ในเรื่องนี้

ท่านพระโพธินันทมุนี สรุปว่า "จะว่าอย่างไรก็ไม่ทราบ จะว่าอิทธิฤทธิ์หรือไม่อิทธิฤทธิ์ อาตมาไม่ทราบ อาตมาพูดได้เพียงว่า อันนี้เป็นเรื่องแปลกเท่านั้นเอง"

หน้าต่อไป