สำหรับชีวิตประจำวันของหลวงปู่
ก็มีกล่าวถึงปฏิปทาในตอนอื่นมาพอสมควร
ว่าท่านมีความเป็นอยู่อย่างไร
คือ ท่านอยู่อย่างง่ายๆ
คำเตือนของท่านโดยเฉพาะท่านจะเตือนพระเณร
ด้วยคำเตือนง่ายๆ
อย่างเช่น
พระบางองค์พอบวชมาแล้วก็ต้องการจะลาสึก
อย่างนี้เป็นต้น
หลวงปู่ก็มักจะแนะนำว่า
"เออ !
อยู่ช่วยวัดวาศาสนาไป
การจะสึกหาลาเพศไปนั้น
ญาติโยมเขาก็อยู่ภายนอกเยอะแล้ว
เขาก็อยู่ได้ทำได้
เรามีโอกาสได้มาบวชปีสองปีก็ตั้งใจศึกษาปฏิบัติ
ช่วยวัดวา ช่วยพระศาสนาไป"
โดยมากแล้วพระที่จะไปลาสึกกันนั้นไม่มีใครไปขอลาครั้งเดียวแล้วก็สำเร็จ
(ยกเว้นลางาน
ลาราชการบวชชั่วคราว)
จะถูกท่านแนะนำจนกระทั่งท่านเห็นว่าคนนั้นถอยจริงๆ
แล้ว ถอยศรัทธาแล้ว
ถึงอยู่ต่อไปก็คงไม่ได้อะไร
ท่านจึงจะอนุญาต
แต่ถ้าพอแก้ไข
แนะนำชักชวนให้อยู่ประพฤติปฏิบัติต่อได้
ท่านก็มักจะแนะนำตักเตือนเสียก่อน
ซึ่งมีหลายองค์จะได้ผล
และอยู่บวชเรียนต่อๆ มา
จนมีชื่อเสียงมาจนปัจจุบันนี้
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ
การสงเคราะห์ในการให้บรรพชาอุปสมบท
นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง
และน่าเห็นใจท่านมาก
การสงเคราะห์ให้คนเข้าบวชนั้น
บางคนไม่รู้หนังสือ
ไม่ได้ ก.ไก่ - ข.ไข่มา
เมื่อมาอยู่วัดแล้ว บางทีหลวงปู่ต้องลงทุนสอนด้วยตัวท่านเอง
กระทั่งเขาอ่านออกเขียนได้
แล้วสอบได้นักธรรมตรี โท
เอก ไปจนถึงมหาเปรียญ
ก็มีเยอะ
ในเรื่องการสงเคราะห์คนให้ได้บวชเรียนนั้น
ท่านทั้งหลายคงยอมรับว่าในช่วงสมัยสงครามนั้น
หลวงปู่หลวงพ่อในรุ่นนั้นถือเป็นรุ่นทุกข์ยากลำบากขาดแคลนมากในเรื่องปัจจัยสี่
โดยเฉพาะเครื่องนุ่งห่ม
สำหรับท่านที่สูงอายุสักหน่อย
จะเห็นว่าจาก พ.ศ. ๒๔๘๐
กระทั่ง พ.ศ. ๒๔๙๐ และถึง
๒๕๐๐ นั้น
เรื่องเครื่องนุ่งห่ม
โดยเฉพาะในบ้านนอกบ้านนานั้นนับว่าแร้นแค้นอย่างที่สุด
ผู้ที่มาขอบวชกับหลวงปู่
เมื่อสนใจเลื่อมใสแล้ว
ก็จะถูกพ่อแม่นำตัวมาถวาย
"แล้วแต่หลวงปู่จะเมตตา
แล้วแต่หลวงพ่อจะกรุณา
สบงจีวรอะไรก็ไม่มีหรอก
แล้วแต่หลวงพ่อจะเมตตากรุณาเถอะ"
แม้แต่สบงจีวรที่จะบวชก็ไม่มี
หลวงปู่ก็บวชให้
โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ
หลวงปู่บวชให้มากจริงๆ
คือ ปีหนึ่งๆ ท่านจะบวชพระ-เณร
ตั้งแต่ ๒๐๐ องค์ขึ้นไป
บุรีรัมย์และสุรินทร์ในสมัยนั้น
ไม่มีพระอุปัชฌาย์
ฝ่ายสงฆ์ธรรมยุตก็มารวมงานบวชที่วัดนี้แห่งเดียว
พระอุโบสถวัดบูรพารามนั้นจึงใช้ในการบวชอย่างคุ้มค่ามาก
จนกล่าวได้ว่า ไม่มีวันไหนที่ไม่มีใครเดินทางมาบวช
อันนี้ว่าโดยทั่วๆ ไป
ถ้าพูดถึงสิ่งที่หลวงปู่ให้การสงเคราะห์แล้ว
ท่านสงเคราะห์ทุกอย่าง
ตัวท่านเองก็จะใช้ของต่างๆ
เพียงพอยังอัตภาพเท่านั้น
โดยเฉพาะด้านการนุ่งห่ม
เมื่อได้มา มีมา
หรือบางครั้งต้องไปหาซื้อจ่ายมา
เพื่อสงเคราะห์ให้คนได้บวช
ลูกศิษย์อย่างพวกอาตมาก็เคยว่า
"หลวงปู่
เมื่อเขาไม่มีอะไร
แล้วเราไม่มีอะไร
ก็น่าจะปล่อยตามเรื่องเขาบ้าง"
แต่ไม่ได้หมายความว่า
ทุกคนจะเป็นในลักษณะนี้หมด
คือ ถ้ามีมาบวชสักสิบราย
ก็จะมีคนพร้อมที่จะจัดหาเครื่องบวชประมาณ
๕-๖ ราย ส่วน ๒-๓-๔ รายนั้น
จะมาตัวเปล่า
ที่หวังมาพึ่งบารมีหลวงปู่
ท่านก็ให้การสงเคราะห์ตามมีตามเกิด
แม้แต่สบงจีวรก็ไม่มี
ครั้นบวชแล้วจะไปห่วงอะไรถึงเรื่องเสื่อ
หมอน
หรือเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ
ไม่ต้องพูดถึง
ทางหลวงปู่ต้องสงเคราะห์ทั้งนั้น
หลวงปู่ต้องต่อสู้มาอย่างนั้น
พอกราบเรียนท่านเรื่องนี้
ท่านเคยพูดให้ข้อคิดว่า
"สงเคราะห์กันไปสิบได้หนึ่ง
ร้อยได้สอง ก็ยังดี"
นั่นคือ
ใครมาขอให้ท่านบวชให้
ท่านก็บวชให้การสงเคราะห์
เผื่อว่าบางคนจะมีบุญมีวาสนาในทางประพฤติปฏิบัติ
ได้เหลืออยู่ช่วยวัดวาไปนานๆ
ทำนองว่า บวชสัก ๑๐ คน
ยังเหลืออยู่ ๑ หรือบวช ๑๐๐
คน เหลืออยู่ ๒ คนก็ยังดี
ถ้าพูดถึงการสงเคราะห์ในการบวชแล้ว
รู้สึกเห็นใจหลวงปู่มาก
ท่านทำได้มากเหลือเกิน
อย่าว่าแต่มีผู้มีจตุปัจจัยถวายพระอุปัชฌาย์เลย
แม้แต่สบงจีวรให้ครบชุดก็ยังไม่มี
แต่หลวงปู่ก็ทำของท่านมาตลอดอายุขัยของท่าน
จะมีการสงเคราะห์ประเภทนี้แหละ
ท่านให้การสงเคราะห์ตามมีตามเกิด
สามารถกล่าวได้ว่า หลวงปู่ท่านอาศัยคุณธรรมอย่างเดียว
ใครจะรู้ว่าหลวงปู่มีคุณธรรมแค่ไหน
เพียงไร นั้นยาก
แต่จะเห็นว่าหลวงปู่ท่านอยู่อย่างสันโดษ
อยู่ในคุณธรรม
ไม่คิดสร้างอุบาย
หรือนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพื่อให้คนทั่วไปเกิดความนับถือ
หรือทำให้เกิดความอัศจรรย์แก่ใคร
ท่านเคยอยู่อย่างไร
ก็อยู่อย่างนั้น
แล้วก็ลำบาก
เพิ่งจะมาช่วงหลังๆ นี้
ชาวเมืองหรือชาวกรุงเทพฯ
เขามีความนิยมพระป่า
และหลวงปู่ก็เป็นพระฝ่ายป่ามาก่อน
จึงมีคนหลั่งไหลมากราบไหว้จำนวนมาก
ฐานะความเป็นอยู่ของวัด
ของหลวงปู่ จึงมากระเตื้องตอนที่ท่านอายุ
๙๐ ปีแล้ว
อันนี้พูดตามสัจตามจริงให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ
ในส่วนของหลวงปู่
ท่านเคยอยู่อย่างไร
ก็อยู่อย่างนั้นเอง
อยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
การกระทำของท่านไม่มีการแสดง
การโอ้อวด
ไม่มีการพูดเลียบเคียง
หรือมีการขวนขวายในเรื่องลาภสักการะ
หลวงปู่จึงอยู่ตามสภาวะแล้วก็สงเคราะห์เฉพาะสิ่งที่หมดจด
เมื่อหลวงปู่อยู่แบบนี้
หมายถึงว่าสิ่งที่ท่านได้มาก็บริสุทธิ์
สิ่งนั้นก็หมดจด
สิ่งนั้นก็สะอาด
กุศลก็เกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย
ปฏิปทาของท่านมักจะเป็นอยู่อย่างนี้