ต่อเนื่องกับเรื่อง
ผู้พิชิตงูจงอาง
หลวงปู่ก็ให้การอบรมสั่งสอนเด็กชายซอมต่อไปว่า
"สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อมีสภาวะแห่งจิตเสมอกัน
ย่อมไม่กระทำอันตรายแก่กันและกัน
และอาจสื่อสารสนทนากันได้
สามารถเข้าอกเข้าใจกันได้"
ยกตัวอย่างเช่น
สัตว์ที่ตกอยู่ในสภาวะแห่งความกลัวต่อสิ่งเดียวกัน
ก็สามารถวิ่งหนีภัยไปด้วยกัน
หรือไปชุมนุมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน
เมื่อเผชิญกับน้ำป่าหรือไฟป่า
เป็นต้น
บางครั้งเราจะเห็นเสือเดินผ่านฝูงสัตว์ต่างๆ
ไปอย่างปกติธรรมดาและสัตว์เหล่านั้น
เมื่อเหลือบเห็นเสือก็มิได้แตกตื่นหนี
เพราะมันรู้ว่า
เสือได้อาหารอิ่มท้องสบายใจแล้ว
สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้
จะมีจิตกำเริบเป็นอันตรายต่อกันและกัน
ก็ต่อเมื่อมีความหิวโหยและปรารถนาความอยู่รอดแก่ตน
แย่งชิงถิ่นที่อยู่และเกิดคลุ้มคลั่งในสมัยฤดูกาลสืบพันธุ์เท่านั้น
มนุษย์ต่างหากที่มีความดุร้าย
เป็นอันตรายต่อกันและกันได้มากกว่า
การอยู่ในป่า
จึงนับว่าสามารถหลบหลีกอันตราย
ซึ่งเป็นไปอย่างเปิดเผยได้ง่ายกว่าการอยู่ในบ้านในเมือง
เพราะในสังคมมนุษย์นั้น
นอกจากจะมีการมุ่งร้ายหมายขวัญกันอย่างเปิดเผยแล้ว
การประทุษร้ายกันอย่างลับๆ
ก็ยังเป็นไปอยู่ตลอดเวลา
ด้วยวิธีการสารพัดวิธี
อนึ่ง
หลวงปู่เคยสั่งสอนพระเณรว่า
เมื่ออยู่ในป่าและประจันหน้ากับงูจงอาง
งูตกใจแล่นไล่จะทำอันตรายแก่เรา
อย่าได้วิ่งหนีตรงๆ
ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ให้วิ่งหลบหักซ้ายบ้างขวาบ้าง
งูจะเข้าถึงตัวได้ช้า
หรือไม่ก็จะเลิกความมุ่งร้ายไปในที่สุด
เมื่อมันยังไล่ตามอยู่
ให้แก้ไขโดยเอาสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่นผ้าขาวม้าหรืออะไรก็ตาม
โยนทิ้งไว้ข้างหลัง
มันจะพุ่งเข้าฉกพัวพันอยู่กับของสิ่งนั้น
เลิกล้มการไล่ติดตามเราอย่างสิ้นเชิง
ก็จะทำให้รอดพ้นอันตรายไปได้