ลูกศิษย์ลูกหาที่วัดบูรพารามเคยกราบเรียนหลวงปู่ดูลย์
อตุโล
เกี่ยวกับเรื่องราวของท่าน
พระอาจารย์ใหญ่ คือ
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เล่าให้ฟังในอีกแง่มุมหนึ่ง
ที่อาจแตกต่างจากที่เคยได้ยิน
ได้ฟัง
ได้อ่านพบในที่ต่างๆ
ไปบ้าง
เห็นว่าน่าจะนำมาบันทึกรวมไว้เพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจด้วย
ครั้งนั้น ผู้เขียน (พระโพธินันทมุนี)
ได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า,
"ได้อ่านประวัติ ท่านพระอาจารย์มั่น
ที่มีผู้เขียนไว้อย่างพิสดาร
มีสิ่งเร้นลับเหนือวิสัยและอภินิหารบางอย่างอยู่ในนั้นมากมาย
หลวงปู่เคยอ่านบ้างไหม
และมีความเห็นอย่างไร?"
หลวงปู่ตอบว่า "เคยอ่านเหมือนกัน
แต่เมื่อสมัยที่เราอยู่กับท่านนั้น
ไม่เคยได้ยินท่านพูดสิ่งเหล่านี้ให้ฟังเลย
แต่ถ้าจะพูดในแง่ธุดงค์แล้ว
ท่านอาจารย์ใหญ่จะถือธุดงค์อย่างเคร่งครัดที่สุด
ยืนยันได้เลยว่า
ลูกศิษย์ของท่านทั้งหมด
ยังไม่มีผู้ใดถือได้เท่าเทียมกับท่านอาจารย์ใหญ่เลยแม้แต่องค์เดียว"
แล้วหลวงปู่ก็เล่าต่อว่า
ท่านพระปรมาจารย์
หรือท่านอาจารย์ใหญ่ของหลวงปู่นั้น
จะไม่ยอมใช้ผ้าสบงจีวรสำเร็จรูป
หรือ คหบดีจีวร ที่มีผู้ซื้อจากท้องตลาดมาถวายเลย
นอกจากได้ผ้ามาเอง
แล้วมาตัดเย็บย้อมเองทั้งหมดจึงใช้
และ ไม่เคยดำริหรือริเริ่มให้ใครคนใดคนหนึ่งสร้างวัดสร้างวาเลย
มีแต่สัญจรไปเรื่อยๆ
เมื่อเห็นว่าป่าตรงไหนเหมาะสมท่านก็อยู่
เริ่มด้วยการปักกลดแล้วทำที่สำหรับเดินจงกรม
ส่วนญาติโยมผู้มีศรัทธาเลื่อมใส
เมื่อมาพบและมองเห็นความเหมาะสมสำคัญ
ก็จะสร้างกุฏิน้อย
สร้างศาลาชั่วคราวถวายท่าน
นอกจากนั้น
สถานที่นั้นก็กลายเป็นวัดป่าเจริญรุ่งเรืองต่อมา
ยิ่งกว่านั้น แม้แต่การรับกฐินท่านก็ไม่เคย
สมัยต่อมานั้นไม่ทราบและท่านไม่เคยถือเอาประโยชน์ที่ได้รับอานิสงส์พรรษาตามพระพุทธบัญญัติ
ที่ให้สิทธิพิเศษแก่ภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาตลอด
๓ เดือน
ได้รับการยกเว้นบางอย่างในการปฏิบัติ
ท่านจะ ถือตามสิกขาบทโดยตลอด
ไม่เคยยกเว้น
ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธุดงควัตรโดยสม่ำเสมอ
ด้านอาหารการฉันก็เช่นเดียวกัน
ท่านถือการบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นประจำไม่เคยขาด
แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วย
แต่พอเดินได้ท่านก็เดิน
จนกระทั่งในที่สุด
เมื่อเดินไปบิณฑบาตไม่ได้
ท่านก็ลุกขึ้นยืนแล้วอุ้มบาตร
ศิษยานุศิษย์ที่กลับมาจากบิณฑบาต
และญาติโยมก็มาใส่บาตรให้ท่าน
แล้วท่านก็ จะขบฉันเฉพาะอาหารที่อยู่ในบาตรเท่านั้น
แม้เมื่อเวลาท่านชราภาพมากแล้ว
เวลาท่านเจ็บไข้
หรือป่วยมากจนไม่อาจเดินออกนอกวัดได้
ก็ทราบว่าท่านเป็นอยู่อย่างนี้
และยังฉันอาหารมื้อเดียวตลอด
แม้แต่หยูกยาคิลานเภสัชต่างๆ
ที่ใช้ในยามเจ็บไข้
ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ ไม่นิยมใช้ยาสำเร็จรูป
หรือแม้แต่ยาตำราหลวง
หากแต่พยายามใช้สมุนไพรตัวยาต่างๆ
มาทำเอง ผสมเองเป็นประจำ
แม้แต่การเข้าไปพักตามวัดก็นิยมพักที่วัดป่า
จำได้ว่า ไม่เคยเข้าไปอยู่ในวัดบ้านเลย
แต่จะอยู่วัดที่เป็นป่าหรือชายป่า
เมื่อไม่มีวัดเช่นนี้อยู่
ท่านจะหลีกเร้นอยู่ตามชายป่า
แม้ว่าจะมีความจำเป็นเวลาเดินทางก็ยากนักที่จะเข้าไปอาศัยวัดวาในบ้าน
ครั้งหนึ่ง
หลวงปู่ได้เล่าถึงคำสอนของท่านพระอาจารย์ใหญ่เกี่ยวกับการขบฉันภัตตาหารได้ว่า
"ท่านอาจารย์ใหญ่สั่งสอนไว้ว่า
การฉันอาหารต้องฉันอย่างประหยัด
มีสติสัมปชัญญะ
เพื่อขัดเกลาจิตใจมิให้เกิดความโลภ
วิธีการฉันนั้น
เมื่อรับข้าวสุกมากะว่าพออิ่มสำหรับตนแล้ว
ให้แบ่งข้าวสุกที่ตนพออิ่มนั้นออกเป็น
๔ ส่วน
เอาออกเสียส่วนหนึ่ง
แล้วจึงรับเอากับข้าวมาในปริมาณที่เท่ากับส่วนหนึ่งที่เอาออกไป
กล่าวคือ ให้มีข้าว ๓ ส่วน
กับข้าว ๑ ส่วน
แล้วจึงลงมือฉัน
ท่านอาจารย์ใหญ่เอง
ก็จะฉันภัตตาหารในลักษณะเช่นนี้โดยตลอด
เมื่อมีผู้ใดจะตระเตรียมภัตตาหารในบาตรถวายท่าน
ท่านอาจารย์ใหญ่ก็จะแนะนำให้จัดแจงมาในลักษณะเช่นนี้
แล้วท่านจึงฉัน"
นี่คือปฏิปทาส่วนตัวของ ท่านพระอาจารย์ใหญ่
ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
ตามที่หลวงปู่เล่าให้ฟัง
ซึ่งหลวงปู่จะพูดถึงแต่ในแง่ที่ท่านถือธุดงค์
ในแง่ที่ท่านเคร่งครัดอย่างไร
เพื่อให้ผู้สนใจซักถามนั้นได้ถือเป็นแบบแผนเยี่ยงอย่าง
ส่วนคุณธรรมด้านอื่นๆ
นั้น
หลวงปู่เคยกล่าวในแวดวงนักปฏิบัติว่า
"ท่านอาจารย์ใหญ่เป็นผู้ที่มีญาณใหญ่ไม่มีใครเทียบเท่าได้"
ดังนี้เท่านั้น
ส่วนคุณวิเศษหรืออภิญญาใดๆ
ที่มีในตัวพระอาจารย์ใหญ่มั่นนั้น
หลวงปู่ไม่เคยพูดถึงเลย