ในพระสุตตันตปิฎก
มีพระสูตรๆ
หนึ่งว่าด้วยการพูด
ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนพระสงฆ์สาวกว่า
ควรจะพูดถ้อยคำที่ประกอบด้วยองค์
๔ คือ เป็นเรื่องจริง
มีประโยชน์
ผู้ฟังพอใจและถูกต้องเหมาะกับเวลาและสถานที่
จะขาดองค์หนึ่งองค์ใดไม่ได้
หมายความว่า
ถ้าขาดองค์หนึ่งองค์ใดก็ไม่ควรพูด
เช่น เป็นเรื่องยกเมฆ
แต่ก็มีประโยชน์ คนฟังชอบ
ได้จังหวะเหมาะสม
อย่างนี้ก็ไม่ควรพูด
เรื่องจริง มีประโยชน์
ถูกกาลเทศะ
แต่พูดแล้วคนฟังจะต้องโกรธก็ไม่ควรพูดอีกเหมือนกัน
ดังนี้เป็นต้น
สำหรับหลวงปู่ดูลย์ของพวกเรานั้น
รู้สึกว่า
ท่านดำเนินปฏิปทาในเรื่องการพูดนี้ได้ถูกต้องตามพระพุทโธวาทเป็นอย่างดี
เพราะเท่าที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านมานานปี
มีความเห็นว่า "ท่านเป็นผู้ไม่มีโทษทางวาจา"
ทั้งนี้ โดยปกติท่านเป็นคนพูดน้อย
แต่คำพูดเหล่านั้นมักจะรวบรัดจำกัดความ
หมดจดชัดเจน
แต่ก็มีความหมายลึกซึ้ง
ยิ่งคิดยิ่งมองเห็นความหมายมากขึ้นไปอีก
เป็นถ้อยคำที่ไม่ผิดพลาดจากความเป็นจริง
ถูกกาลเทศะ
ตรงต่อพระธรรมวินัย
ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่นทั้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนา
พูดตามความจำเป็นตามเหตุการณ์
คำพูดแต่ละคำไม่มีมายาเจือปนแม้แต่น้อย
ไม่พูดพร่ำเพรื่อเพ้อเจ้อ
เชิงเล่นหัวกับทั้งสานุศิษย์กับทั้งบุคคลอื่นทั่วไป
ไม่พูดตลกคะนองหรือพูดเสียงดัง
ไม่พูดเล่าถึงความฝัน
ไม่พูดหรือปลอบโยนเอาอกเอาใจ
หรือพูดเลียบเคียงหวังประโยชน์
เมื่อมีเหตุการณ์อะไรไม่สมควร
ที่ลูกศิษย์ประพฤติปฏิบัติ
หลวงปู่จะพูดครั้งเดียวแล้วก็หยุดไม่พูดพร่ำเพรื่อ
หรือเมื่อจำเป็นต้องปรามให้หยุดการกระทำนั้น
ก็จะปรามครั้งเดียวไม่มีอะไรต่อ
คือจะมีอะไรที่แรงออกมาคำหนึ่งแล้วท่านก็สงบระงับไปอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อมีอะไรที่น่าพอใจ
น่าขัน
ก็จะหัวเราะออกมาในวาระแรก
แล้วต่อไปก็ยิ้มๆ
และเป็นยิ้มที่สะอาดหมดจด
เป็นปรกติ จริงใจ
บุคลิกอีกอย่างหนึ่งที่มีประจำตัวหลวงปู่ก็คือ
เมื่อเวลาสนทนากัน
ท่านจะไม่มองหน้าใครตรงๆ
จะมองเพียงครั้งแรกที่พบ
จากนั้นก็จะทอดสายตาลงต่ำ
นานๆ
ครั้งจึงจะหันหรือเงยหน้าขึ้นมองบ้างเมื่อจำเป็น
แม้แต่เมื่อพูดกับสมณะด้วยกัน
เช่น ท่านหลวงปู่ขาว
เป็นต้น
ท่านก็ปฏิบัติเช่นนี้
ดังนั้น
เรื่องการจดจำบุคคลของหลวงปู่
ท่านจึงจำไม่ค่อยเก่ง
สำหรับผู้ที่หลวงปู่จำได้ดีเป็นพิเศษ
ส่วนมากเป็นบุคคลที่มาปฏิบัติธรรมด้วย
หรือผู้ที่นั่งสมาธิภาวนามาแล้วได้ผลอย่างไร
แล้วมากราบเรียนท่าน
เพื่อท่านจะได้แนะนำแนวทางปฏิบัติให้ยิ่งๆ
ขึ้นไป
ส่วนผู้ที่อุปัฏฐากด้วยปัจจัยสี่นั้น
ท่านก็จำได้เป็นครั้งคราว
แล้วแต่เหตุการณ์
ในเรื่องการประชาสัมพันธ์
ติดต่อขอร้อง
ขอความช่วยเหลือ
หรือขอความเห็นใจจากบุคคลอื่น
หรือส่วนราชการต่างๆ
หลวงปู่ไม่เคยทำ
ท่านทำไม่เป็นหรือไม่สนใจที่จะทำ
เช่น
การจะเที่ยวขอร้องฝากให้ลูกศิษย์เข้าโรงเรียนหรือเข้าทำงาน
หรือขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ
ให้ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้
ท่านไม่เคยมี
ไม่มีแม้กระทั่งความใกล้ชิดสนิทสนมกับใคร
หรือกับตระกูลใดเป็นพิเศษ
ในกิจนิมนต์นั้น หลวงปู่ก็จะสงเคราะห์รับไปตามความสะดวก
ตามความเหมาะควรโดยไม่คำนึงถึงฐานะของเจ้าภาพ
ไม่คำนึงถึงชั้นวรรณะหรือเห็นแก่หน้าใคร
ไม่ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของใคร
ท่านให้ความอนุเคราะห์เสมอภาคกันหมด
การชี้แจงแสดงธรรมะหรือข้อปฏิบัตินั้น
หลวงปู่ไม่นิยมออกตัวหรือการอารัมภบท
เมื่อจะพูด
ก็พูดชี้ไปตรงจุด
ตรงความมุ่งหมายอันสูงสุดของการปฏิบัติธรรม
พูดถึงจิต
อุบายวิธีทำให้จิตสงบ
หรือการพ้นจากทุกข์โทษทางใจ
นิพพาน ความว่าง จิตเดิม
จิตหนึ่ง
ท่านจะแสดงเฉพาะจุด
เฉพาะแนวทางตามภูมิของผู้ปฏิบัติ
หรือตามความสนใจของผู้เรียนถามท่านเท่านั้น
บางทีก็พูดแบบถามคำตอบคำ
เคยมีนักปฏิบัติธรรมระดับสูงผู้หนึ่งยกย่องท่านว่า
หลวงปู่แสดงธรรมด้วยการไม่พูดอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
ดังนี้ก็มี
หลวงปู่ไม่เคยแสดงธรรมนอกเรื่องนอกราว
ตลกคะนอง สาธกยกนิทานชาดก
หรือเล่นสำนวนโวหาร
มีอยู่ครั้งหนึ่ง
เมื่อหลวงปู่ไปกิจนิมนต์
และพระองค์อื่นแสดงพระธรรมเทศนา
แล้วมีใครคนหนึ่งวิจารณ์การแสดงธรรมให้ท่านฟัง
และขอคำวิจารณ์จากท่าน
หลวงปู่ก็สนองตามความต้องการ
โดยไม่ขัดอัธยาศัยทันที
ด้วยการวิจารณ์ว่า "ท่านองค์นั้นก็แสดงธรรมไปตามความถนัด
ตามความสามารถของท่านเอง"
การแนะนำศิษย์ในเรื่องการเทศน์การแสดงธรรมนั้น
หลวงปู่ไม่โปรดเรื่องตลกคะนองหรือเรื่องภายนอกมากเกินไป
ท่านยอมรับการเทศน์ตลก
มีมุกขำขันของพระเดชพระคุณ
ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์
(สิริจนฺโท จันทร์) แห่งวัดบรมนิวาส
สมัยก่อน
ซึ่งเป็นมุกขำขันที่มีสาระและประกอบด้วยธรรมะ
หลวงปู่แนะนำว่า ในการแสดงพระธรรมเทศนานั้น
ควรแสดงธรรมให้เป็นกระแส
จากต่ำไปหาสูง
จากง่ายไปหายาก
ท่านย้ำว่า
ถ้าต้องการจะให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ขัน
ไม่ง่วงก็แสดงให้เขาซาบซึ้งในเนื้อหาแห่งธรรม
หรือเข้าใจสัจธรรมข้อใดข้อหนึ่ง
มันก็ขันขึ้นมาเอง
ความโง่งมหลงเซอะบรรดามีในโลก
พอรู้สึกตัว "รู้"
เท่านั้น
มันก็น่าขันเสียทั้งนั้น
ผู้ฟังก็จะขำขันในความเขลาของตน
ตื่นตัวตื่นใจขึ้นมาเอง