ในหมู่ผู้สนใจศึกษาศาสนาจะมีข้อโต้แย้งกันเสมอระหว่างการศึกษาจากตำรา
คือศึกษาด้านปริยัติ
กับอีกฝ่ายหนึ่งเน้นการปฏิบัติและไม่เน้นการศึกษาจากตำรา
ว่าแนวทางใดจะให้ผลดีกว่ากัน
หรือตรงกว่ากัน
สำหรับ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ท่านเสนอแนะให้ดำเนินสายกลาง
นั่นคือถ้าเน้นเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
และละเลยอีกด้านหนึ่ง
ก็เป็นการสุดโต่งไป
หลวงปู่ท่านแนะนำลูกศิษย์ลูกหาที่มุ่งปฏิบัติธรรมว่า
ให้อ่านตำรับตำราส่วนที่เป็นพระวินัยให้เข้าใจ
เพื่อที่จะปฏิบัติไม่ผิด
แต่ในส่วนของพระธรรมนั้นให้ตั้งใจปฏิบัติเอา
จากคำแนะนำนี้แสดงว่าหลวงปู่ถือเรื่อง
การปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระวินัยเป็นเรื่องสำคัญ
และจะต้องมาก่อน
ศึกษาให้เข้าใจ
และปฏิบัติตนให้ถูก
แล้วเรื่องคุณธรรมและปัญญาสามารถสร้างเสริมขึ้นได้ถ้าตั้งใจ
ยกตัวอย่างในกรณีของ หลวงตาแนน
หลวงตาแนน
ไม่เคยเรียนหนังสือ
ท่านมาบวชพระเมื่อวัยเลยกลางคนไปแล้ว
ท่านเป็นพระที่มีความตั้งใจดี
ว่าง่ายสอนง่าย ขยัน
ปฏิบัติกิจวัตรไม่ขาดตกบกพร่อง
เห็นพระรูปอื่นเขาออกไปธุดงค์ก็อยากไปด้วย
จึงไปขออนุญาตหลวงปู่
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว
หลวงตาแนนก็ให้บังเกิดความวิตกกังวล
ปรับทุกข์ขึ้นว่า "กระผมไม่รู้หนังสือ
ไม่รู้ภาษาพูดเขา
จะปฏิบัติกะเขาได้อย่างไร"
หลวงปู่จึงแนะนำด้วยเมตตาว่า
"การปฏิบัติไม่ได้เกี่ยวกับอักขระ
พยัญชนะ
หรือคำพูดอะไรหรอก
ที่รู้ว่าตนไม่รู้ก็ดีแล้ว
สำหรับวิธีปฏิบัตินั้น
ในส่วนวินัย
ให้พยายามดูแบบเขา
ดูแบบอย่างครูบาอาจารย์ผู้นำ
อย่าทำให้ผิดแผกจากท่าน
ในส่วนธรรมะนั้น
ให้ดูที่จิตของตัวเอง
ปฏิบัติที่จิต
เมื่อเข้าใจจิตแล้ว
อย่างอื่นก็เข้าใจได้เอง"
เนื่องจากหลวงปู่ได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ผู้ปฏิบัติมามากต่อมาก
ท่านจึงให้ข้อสังเกตในการปฏิบัติธรรม
ระหว่างผู้ที่เรียนน้อยกับผู้ที่เรียนมากมาก่อน
ว่า
"ผู้ที่ยังไม่รู้หัวข้อธรรมอะไรเลย
เมื่อปฏิบัติอย่างจริงจัง
มักจะได้ผลเร็ว
เมื่อเขาปฏิบัติจนเข้าใจจิต
หมดสงสัยเรื่องจิตแล้ว
หันมาศึกษาตริตรอง
ข้อธรรมะในภายหลัง
จึงจะรู้แจ้งแทงตลอด
แตกฉานน่าอัศจรรย์"
"ส่วนผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน
แล้วจึงหันมาปฏิบัติต่อภายหลัง
จิตจะสงบเป็นสมาธิยากกว่า
เพราะชอบใช้วิตกวิจารมาก
เมื่อจิตวิตกวิจารมาก
วิจิกิจฉาก็มาก
จึงยากที่จะประสบผลสำเร็จ"
อย่างไรก็ตาม
ข้อสังเกตดังกล่าว
หลวงปู่ย้ำว่า "แต่ทั้งนี้ก็ไม่เสมอไปทีเดียว"
แล้วท่านให้ข้อแนะนำต่อไปอีกว่า
"ผู้ที่ศึกษาทางปริยัติจนแตกฉานมาก่อนแล้ว
เมื่อหันมามุ่งปฏิบัติอย่างจริงจัง
จนถึงขั้นอธิจิต
อธิปัญญาแล้ว
ผลสำเร็จก็จะยิ่งวิเศษขึ้นไปอีก
เพราะเป็นการเดินตามแนวทางปริยัติ
ปฏิบัติ ย่อมแตกฉานทั้งอรรถะและพยัญชนะ
ฉลาดในการชี้แจงแสดงธรรม"
หลวงปู่ได้ยกตัวอย่างพระเถระทั้งในอดีตและปัจจุบัน
เพื่อสนับสนุนความคิดดังกล่าว
ก็มีท่านเจ้าคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(สิริจนฺโท จันทร์)
แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ
และ ท่านอาจารย์พระมหาบัว
ณาณสมฺปนฺโน
แห่งสำนักวัดป่าบ้านตาด
จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น
ทั้งสององค์นี้ "ได้ทั้งปริยัติ
ปฏิบัติ ปฏิเวธ
อาจหาญชาญฉลาดในการแสดงธรรม
เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงแก่พระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง"
โดยสรุป
หลวงปู่สนับสนุนทั้งตำรา
คือ ปริยัติและปฏิบัติ
ต้องไปด้วยกันและท่านย้ำว่า
"ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์
ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้
แต่ผู้จะพ้นทุกข์ได้
ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน"