หลวงพ่อเพิ่ม
ได้เล่าถึงประสบการณ์ในการปฏิบัติกัมมัฏฐานสมัยเริ่มต้น
เมื่อครั้งยังเป็นสามเณรว่า
ตอนที่ฝึกกัมมัฏฐานใหม่ๆ
นั้น
ท่านยังไม่ประสีประสาอะไรเลย
หลวงปู่ดูลย์
ได้แนะนำถึงวิธีการทำสมาธิ
ว่าควรนั่งอย่างไร ยืน
เดิน นอน ควรทำอย่างไร
ในชั้นต้น
หลวงปู่ให้เริ่มที่การนั่ง
เมื่อนั่งเข้าที่เข้าทางก็ให้หลับตาภาวนา
"พุทโธ" ไว้ อย่าส่งใจไปคิดถึงเรื่องอื่น
ให้นึกถึงแต่ พุทโธ-พุทโธ
เพียงอย่างเดียว
ก็จดจำนำไปปฏิบัติตามที่หลวงปู่สอน
ปกติของใจเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง
มักจะคิดฟุ้งซ่านไปโน่นไปนี่เสมอ
ในระยะเริ่มต้นคนที่ไม่เคยฝึกมาก่อน
อยู่ๆ
จะมาบังคับให้มันหยุดนิ่ง
คิดอยู่แต่พุทโธประการเดียวเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
สามเณรเพิ่มก็เช่นกัน
เมื่อภาวนาไปตามที่หลวงปู่สอนได้ระยะหนึ่งก็เกิดความสงสัยขึ้น
จึงถามหลวงปู่ว่า "เมื่อหลับตาภาวนาแต่พุทโธแล้วจะเห็นอะไรครับหลวงปู่"
หลวงปู่บอก "อย่าได้สงสัย
อย่าได้ถามเลย
ให้เร่งรีบภาวนาไปเถิด
ให้ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆ
แล้วมันจะรู้เองเห็นเองแหละ"
มีอยู่คราวหนึ่ง ขณะที่ สามเณรเพิ่ม
ภาวนาไปได้ระยะหนึ่ง
จิตเริ่มสงบก็ ปรากฏร่างพญางูยักษ์ดำมะเมื่อมขึ้นมาอยู่ตรงหน้า
มันจ้องมองท่านด้วยความประสงค์ร้าย
แผ่แม่เบี้ยส่งเสียงขู่ฟู่-ฟู่
อยู่ไปมา
สามเณรเพิ่มซึ่งเพิ่งฝึกหัดภาวนาใหม่ๆ
เกิดความหวาดกลัว
ผวาลืมตาขึ้นก็ไม่เห็นพญางูยักษ์
จึงรู้ได้ทันทีว่า
สิ่งที่ท่านเห็นนั้นเป็นการเห็นด้วยสมาธิจิตที่เรียกว่า
นิมิต นั่นเอง
จึงได้หลับตาลงภาวนาต่อ
พอหลับตาลงเท่านั้น
ก็พลันเห็นงูยักษ์แผ่แม่เบี้ยส่งเสียงขู่
ทำท่าจะฉกอีก
แม้จะหวาดกลัวน้อยลงกว่าครั้งแรก
แต่ก็กลัวมากพอที่จะต้องลืมตาขึ้นอีก
เมื่อนำเรื่องนี้ไปถามหลวงปู่
ได้รับคำอธิบายว่า
"อย่าส่งใจไปดูไปรู้ในสิ่งอื่น
การภาวนาท่านให้ดูใจของตนเองหรอก
ท่านไม่ให้ดูสิ่งอื่น"
"การบำเพ็ญกัมมัฏฐานนี้
ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้น
ไปรู้ไปเห็นอะไร
เราอย่าไปดู ให้ดูแต่ใจ
ให้ใจอยู่ที่พุทโธ
เมื่อกำลังภาวนาอยู่
หากมีความกลัวเกิดขึ้น
ก็อย่าไปคิดในสิ่งที่น่ากลัวนั้น
อย่าไปดูมัน
ดูแต่ใจของเราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แล้วความกลัวมันจะหายไปเอง"
หลวงปู่ได้ชี้แจงต่อไปว่า
สิ่งที่เราไปรู้ไปเห็นนั้น
บางทีก็จริง
บางทีก็ไม่จริงเหมือนกับว่า
คนที่ภาวนาแล้วไปรู้ไปเห็นสิ่งต่างๆ
เข้า การที่เขาเห็นนั้นเขาเห็นจริง
แต่สิ่งที่เห็นนั้นมันไม่จริง
เหมือนอย่างที่เราดูหนัง
เห็นภาพในจอหนังก็เห็นภาพในจอจริงๆ
แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง
เพราะความจริงนั้นภาพมันไปจากฟิล์มต่างหาก
ฉะนั้น
ผู้ภาวนาต้องดูที่ใจอย่างเดียว
สิ่งอื่นนอกจากนั้นจะหายไปเอง
ให้ใจมันอยู่ที่ใจนั้นแหละ
อย่าไปส่งออกนอก
ใจนี้มันไม่ได้อยู่จำเพาะที่ว่า
จะต้องอยู่ตรงนั้นตรงนี้
คำว่า "ใจอยู่กับใจ"
นี้คือ
คิดตรงไหนใจก็อยู่ตรงนั้นแหละ
ความนึกคิดก็คือตัวจิตตัวใจ
หากจะเปรียบไปก็เหมือนเช่นรูปกับฟิล์ม
จะว่ารูปเป็นฟิล์มก็ได้
จะว่าฟิล์มเป็นรูปก็ได้
ใจอยู่กับใจ
จึงเปรียบเหมือนรูปกับฟิล์มนั่นแหละ
แต่โดยหลักปฏิบัติแล้ว
ใจก็เป็นอย่างหนึ่ง
สติก็เป็นอย่างหนึ่ง
แต่ที่จริงแล้วมันก็เป็นสิ่งเดียวกัน
เหมือนหนึ่งว่า
ไฟกับกระแสไฟ
ความสว่างกับไฟก็อันหนึ่งอันเดียวกันนั่นแหละ
แต่เรามาพูดให้เป็นคนละอย่าง
ใจอยู่กับใจ จึงหมายถึง
ให้มีสติอยู่กำกับมันเอง
ให้อยู่กับสติ
แต่สติสำหรับปุถุชน
หรือสติสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติ
เป็นสติที่ยังไม่มั่นคง
มันจึงมีลักษณะขาดช่วงเป็นตอนๆ
ถ้าเราปฏิบัติจนสติมันต่อกันได้เร็ว
จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ให้เป็นแสงสว่างอย่างเดียวกัน
อย่างเช่น สัญญาณออด
ซึ่งที่จริงมันไม่ได้มีเสียงยาวติดต่อกันเลย
แต่เสียงออด - ออด - ออด
ถี่มาก
จนความถี่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เราจึงได้ยินเสียงออดนั้นยาว
ในการปฏิบัติ ที่ว่า ปฏิบัติจิต
ปฏิบัติใจ
โดยให้ใจอยู่กับใจนี้
ก็คือให้มีสติกำกับใจ
ให้เป็นสติถาวร
ไม่ใช่เป็นสติคล้ายๆ
หลอดไฟที่จวนจะชาด
เดี๋ยวก็สว่างวาบ
เดี๋ยวก็ดับ
เดี๋ยวก็สว่าง
แต่ให้มันสว่างติดต่อกันไปตลอดเวลา
เมื่อสติมันติดต่อกันไปอย่างนี้แล้ว
ใจมันก็มีสติควบคุมอยู่ตลอดเวลา
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา"
ตัวรู้ ก็คือ สติ นั่นเอง
หรือจะเรียกว่า "พุทโธ"
ก็ได้ พุทโธที่ว่า รู้
ตื่น เบิกบาน
ก็คือตัวสตินั่นแหละ
เมื่อมีสติ
ความรู้สึกนึกคิดอะไรต่างๆ
มันก็จะเป็นไปได้โดยอัตโนมัติของมันเอง
เวลาดีใจก็จะไม่ดีใจจนเกินไป
สามารถพิจารณารู้ได้โดยทันทีว่า
สิ่งนี้คืออะไรเกิดขึ้น
และเวลาเสียใจมันก็ไม่เสียใจจนเกินไป
เพราะว่าสติมันรู้อยู่แล้ว
คำชมก็เป็นคำชนิดหนึ่ง
คำติก็เป็นคำชนิดหนึ่ง
เมื่อจับสิ่งเหล่านี้มาถ่วงกันแล้วจะเห็นว่ามันไม่แตกต่างกันจนเกินไป
มันเป็นเพียงภาษาคำพูดเท่านั้นเอง
ใจมันก็ไม่รับ
เมื่อใจมันไม่รับ
ก็รู้ว่าใจมันไม่มีความกังวล
ความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ
ก็ไม่มี
ความกระเพื่อมของจิตก็ไม่มี
ก็เหลือแต่ความรู้อยู่ในใจ
สามเณรเพิ่มจดจำคำแนะนำสั่งสอนจากหลวงปู่ไปปฏิบัติต่อ
ปรากฏว่าสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวไม่ทำให้ท่านหวาดหวั่นใจอีกเลย
ทำให้ท่านสามารถโน้มน้าวใจสู่ความสงบ
ค้นพบปัญญาที่จะนำสู่ความสุขสงบในสมาธิธรรมตั้งแต่บัดนั้นมา