ท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนี
(อดีตท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์)
เล่าให้ฟังว่าในอดีตท่าน
"มีความไม่ค่อยดีอยู่อย่างหนึ่ง"
คือ ทั้งๆ
ที่พยายามปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงปู่และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
แต่ก็สังเกตตัวเองได้ว่า
ถ้าวันไหนมีภัตตาหารเป็นปกติธรรมดา
เช่น น้ำพริกผักต้ม
หรืออาหารพื้นบ้านทั่วๆ
ไป
ก็มีความสุขกายสบายใจเป็นธรรมดาตามความเคยชิน
แต่ถ้าวันไหนมีอาหารที่พิเศษพิสดารขึ้นกว่าปกติก็ชักจะรู้สึกสนุกสนานผิดธรรมดาไปหน่อย
จนกระทั่งเกิดความรำคาญตัวเองขึ้นมา
จึงต้องแก้ไขดัดนิสัยตัวเองด้วยการฉันเฉพาะอาหารผักเสียบ้าง
ให้มันรู้สึกยากลำบากต่อการได้มายิ่งขึ้น
ให้รสชาติอาหารเป็นธรรมดาๆ
มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เอง
ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า
พระเถระก็ดีอุบาสกอุบาสิกาก็ดี
ที่เจริญด้วยการปฏิบัติธรรมยิ่งๆ
ขึ้นไป
ชะรอยจะตัดความยินดีในรสอาหารเสียได้
จึงไม่ยินดียินร้ายในรสอาหารเสียเลย
ไม่ว่าจะเป็นอาหารอะไร
ล้วนพอใจทั้งสิ้นที่จะได้รับ
ไม่รู้สึกรังเกียจไม่รู้สึกอร่อยหรือไม่อร่อย
ไม่เรียกร้องการปรุงรสเพิ่มเติม
นับว่าเป็นที่น่าชื่นชมควรคารวะยิ่งนัก
ครั้นคิดได้เช่นนี้แล้ว
จึงเข้าไปหาหลวงปู่
และกราบเรียนท่านถึงความคิดของตน
พร้อมทั้งขอทราบความคิดเห็นของท่าน
หลวงปู่บอกว่า "เข้าใจถูกครึ่งหนึ่ง
เข้าใจผิดครึ่งหนึ่ง
แต่ก็เป็นการดีแล้วที่มาพบ
เพื่อพยายามทำความเข้าใจ"
แล้วหลวงปู่ก็อธิบายต่อไปว่า
"ที่ว่าเข้าใจถูกนั้น
ก็คือท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว
สามารถตัดความยินดีในรสอาหารได้จริง
ที่ว่าผิดนั้นก็เพราะท่านมีความรู้สึกรับรู้ถึงรสอาหารได้เป็นอย่างดีผิดคนธรรมดาสามัญ
ทั้งนี้เนื่องจากขันธ์ธาตุของท่านบริสุทธิ์หมดจดแล้ว
สะอาดแล้วด้วยการชำระล้างแห่งธรรมอันยิ่ง
ประสาทรับรู้รสอันประกอบด้วยเส้นตั้งพัน
ตามที่ปรากฏในพระธรรมบทขุททกนิกายต่างก็ปฏิบัติหน้าที่รับรู้รสของตนได้อย่างอิสระเต็มที่เต็มทาง
ตามความสามารถแห่งคุณสมบัติของตน
จึงรู้รสชาติต่างๆ
ได้อย่างชัดเจนละเอียดลออ
ไม่ขาดไปแม้แต่รสเดียว
และแต่ละรสมีรสชาติขนาดไหนก็รู้สึกได้
เสียแต่ว่าไม่มีคำพูดหรือภาษาที่บัญญัติไว้ให้พออธิบายได้เข้าใจเท่านั้นเอง
ซึ่งด้วยภูมิธรรมของปุถุชนสามัญธรรมดา
หากสามารถรับรู้รสชาติเห็นปานนั้นได้
น่าที่จะต้องเกิดคลั่งไคล้ใหลหลงอย่างแน่นอน
ถ้าได้บริโภคอาหารที่สมบูรณ์ด้วยคุณค่าและรสชาติจริงๆ
ดังนั้นไม่ว่าอาหารนั้นจะได้รับการปรุงแต่งให้มีรสชาติมาก
หรือรสชาติน้อยอย่างไร
รสชาติบรรดาที่มีอยู่ในตัวอาหารนั้นๆ
ท่านที่ปฏิบัติชอบแล้ว
ก็สามารถรับรู้ได้จนครบถ้วนทุกรส
แต่เมื่อรับรู้แล้วก็หมดกันเท่านั้น
ไม่เกิดความยินดีพอใจสืบเนื่องต่อไป"