หวนคิดขึ้นมาได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง
ครั้งนั้นสามเณร ๒ รูป
เสร็จจากการศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว
นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้หน้ากุฏิ
ถกเถียงกันอยู่ถึงคุณแห่งพระอรหันต์ที่ศึกษามาจากห้องเรียน
สามเณรใหญ่ชี้แจงว่า "พระอรหันต์นั้นละกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว
ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น
หมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิง"
สามเณรน้อยเถียงทันที "พระอรหันต์ของหลวงพี่ช่างน่าเวทนานัก
เหมือนเสาต้นหนึ่ง
ก้อนหินก้อนหนึ่ง
จะเกิดน้ำท่วมไฟไหม้ก็ไม่รู้อะไรเลย
คงจะต้องตายเสียเปล่า
และยังเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์สิ้นเชิง"
ขณะที่วิวาทะกำลังดำเนินไปอย่างผิดเป้าหมาย
ก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นจากในกุฏิ
สามเณรทั้ง ๒
จึงสามัคคีกันหลบหนีไป
ครั้นข้อถกเถียงนี้ล่วงรู้ถึงหลวงปู่
ท่านก็บอกว่า "แม้จะเป็นการถกเถียงเอาชนะกันแต่ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตที่น่าพินิจพิจารณา"
แล้วหลวงปู่อธิบายว่า
"จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์
ตราบใดที่มีจิต
การรับรู้อารมณ์ก็ย่อมมีเป็นธรรมดา
โดยไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นบุคคลธรรมดารับรู้อารมณ์อย่างไร
พระอรหันต์ก็ย่อมจะต้องรับรู้อารมณ์อย่างนั้น
และการรับรู้อารมณ์ของท่านน่าจะเป็นไปด้วยดี
ยิ่งเสียกว่าคนธรรมดาสามัญด้วยซ้ำ
เพราะจิตของท่านไม่มีเมฆหมอกคือกิเลสปกคลุมอยู่
อันจะทำให้ความสามารถรับรู้อารมณ์ลดลง"
ดังนี้
การกล่าวหาว่าพระอรหันต์ไม่รับรู้อะไร
ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรทั้งนั้น
จึงไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน
ส่วนการที่ท่านหมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิงนั้น
ย่อมหมายความว่าแม้กระทั่งความไม่ยึดมั่นในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ย่อมไม่มีแก่ท่าน
กล่าวคือ ท่านหมดทั้งความยึดมั่นถือมั่น
และความไม่ยึดมั่นถือมั่น
ไม่มีทั้งความพอใจในสิ่งใด
ทั้งความรังเกียจในสิ่งใด
ดังนี้จึงจะเรียกว่า "โดยสิ้นเชิง"
ได้
จิตของท่านจึงลอยเด่นเหนือความดึงดูดและผลักดันต่อสรรพสิ่งเป็นอิสระชั่วนิรันดร
หลวงปู่ได้ชี้แนวทางพิจารณาว่า
"อย่าพยายามทึกทักเอาเองตามความรู้สึกของตนว่า
พระอริยบุคคลไม่ว่าในลำดับใด
เป็นบุคคลที่มีอะไรผิดแปลกไปจากคนธรรมดาสามัญ
ท่านก็มีอะไรทุกอย่างเหมือนๆ
กับคนธรรมดาสามัญ
ทั้งร่างกายและจิตใจ
หรือถ้าจะว่าให้ถูก
ท่านเสียอีกเป็นธรรมดาสามัญ
ปุถุชนต่างหากที่มีอะไรผิดธรรมดาวิปริตไปด้วยการปรุงของกิเลสตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์
พระอรหันต์ท่านเป็นปกติธรรมดา
พ้นจากการปรุงแต่ง
จึงอยู่อย่างไม่มีทุกข์
พระอริยบุคคลที่รองๆ
ลงมา
ก็มีการดำรงอยู่อย่างมีทุกข์มากขึ้นตามลำดับ
และกำลังดำเนินไปสู่การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์ต่อไป
ก็แล การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์นี้ย่อมเป็นยอดปรารถนาของสัตว์โลกทั้งมวล
สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่าที่วิ่งเต้นดิ้นรนอยู่ด้วยประการต่างๆ
ทุกวันเวลานี้
ก็ล้วนแต่เพื่อจุดประสงค์ที่จะระงับดับทุกข์ของตนๆ
อย่างเดียวเท่านั้น
มิได้เป็นไปเพื่อประการอื่นใดเลยแม้แต่น้อย
เมื่อหิวก็เสาะแสวงหาอาหาร
เมื่อเกิดโรคภัยก็วิ่งหายารักษาโรค
เป็นต้น"