ประวัติและปฏิปทา

หน้าแรก ประวัติและปฏิปทา ธรรมและคำสอน รูปภาพ

โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

๗๓. ทุกหมู่เหล่าล้วนแสวงหานิพพาน

ครั้งหนึ่ง หลวงปู่กล่าวว่า "โดยนัยอันปรากฏอยู่ใน พระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร อันเป็นพระปฐมเทศนานั้น พระศาสดาแสดงไว้ชัดเจนว่า สัตว์ทุกหมู่เหล่าล้วนแสวงหาพระนิพพาน คือความดับแห่งทุกข์ แต่เพราะความเขลารู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงพยายามดับทุกข์ด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ความทุกข์จึงเกิดมีมาให้ดับอยู่ร่ำไป

วิธีอันโง่เขลาที่สรรพสัตว์ใช้ในการดับทุกข์ มี ๒ วิธี คือ กามสุขัลลิกานุโยค อธิบายง่ายๆ ว่า วิธีคล้อยตามความปรารถนา คือเมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ให้สมปรารถนาในสิ่งนั้น ความทุกข์ก็ระงับดับไป และ อัตตกิลมถานุโยค หมายถึง วิธีหักห้ามความปรารถนา คือ เมื่อเกิดปรารถนาสิ่งใดก็แก้ไขหักห้ามตรงๆ บ้าง หันเหจิตใจไปสู่อารมณ์อื่นที่สุขุมประณีตกว่า เช่น การเล่นกีฬา เล่นต้นไม้ เป็นต้นบ้าง ในที่สุดความทุกข์นั้นก็ระงับดับไป

สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่าล้วนแสวงหาพระนิพพานแก่ตนด้วยวิธีการอันโง่เขลาทั้ง ๒ วิธีมาเป็นเวลานาน ความทุกข์ก็ยังเกิดมีมาให้ดับอยู่ร่ำไป

จนพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก และทรงรู้แจ้งจึงชี้แนวทางที่ถูกต้องให้ดำเนินตาม

ทรงชี้ให้เห็นว่า ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ตัวความปรารถนานั้นนั่นเอง ถ้าสามารถทำความเข้าใจให้แจ้งชัด รู้ถึงเหตุปัจจัยการปรุงแต่งของมัน หรือรู้รากเหง้าของมัน ธำรงจิตเสียใหม่ให้ถูกต้อง ธำรงจิตให้อยู่โดยประการที่ความทุกข์ไม่อาจท่วมทับได้ โดยประการที่เหตุปัจจัยทั้งหลายไม่อาจปรุงแต่งจิตให้หลงโง่เขลาได้ ดังนี้แล้ว ก็เป็นอันว่าได้บรรลุถึงวิธีการดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์โดยสิ้นเชิง

เหลือภารกิจโดยธรรมดาอยู่อย่างเดียว คือการดูแลรักษาขันธ์นี้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย เมื่อมันต้องการอาหารก็หาให้ เมื่อมีโรคภัยก็เยียวยารักษาไปดังนี้แล"

จากโอวาทของหลวงปู่ข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่า สัตว์ทุกหมู่เหล่าต่างดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อหาทางระงับความทุกข์ ความกระวนกระวายทั้งทางกายและทางวิญญาณของตน

ทุกข์ทางกาย อันเป็นทุกข์ประจำนี้ ก็บำบัดเสียด้วยการแสวงหาปัจจัย ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค

ส่วนทุกข์ทางใจ อันเป็นความกระวนกระวายทางวิญญาณ ต่างก็บำบัดกันไปตามแต่จะเห็นชอบ ซึ่งพอสรุปได้เป็น ๒ วิธี คือ กามสุขัลลิกานุโยค ระงับความกระวนกระวายทางวิญญาณด้วยการคล้อยตามความปรารถนา เมื่อเกิดความทะเยอทะยานอยากในอารมณ์ กับ อัตตกิลมถานุโยค คือการหักห้ามจิตใจให้พ้นจากอำนาจความปรารถนาในอารมณ์ที่น่าปรารถนา ให้พ้นจากความไม่ปรารถนา ในอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ด้วยอุบายวิธีต่างๆ เช่น หักห้ามจิตใจโดยตรงไม่ยอมคล้อยตาม หรือด้วยการเตือนตัวเองว่าไม่อาจสนองตอบได้ และหักห้ามจิตใจให้หันไปสู่อารมณ์อันเป็นตรงข้าม เช่น หันไปเล่นกีฬา เป็นต้น ตลอดจนถึงการทรมานกายด้วยประการต่างๆ ของพวกโยคีเป็นตัวอย่าง ก็เป็นการทำให้วิญญาณสงบลงได้เหมือนกัน

การระงับดับทุกข์ทั้ง ๒ วิธี สามารถบำบัดได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว บางอย่างกลับเพิ่มความทุกข์ซ้ำซ้อนขึ้นมาเสียอีก จึงไม่ใช่วิธีระงับดับทุกข์ที่ได้ผลอย่างแท้จริง เพราะต้นเหตุมันอยู่ที่ความปรารถนาที่เกิดขึ้นที่จิตใจ ต้องแก้กันที่เหตุต้องดับกันที่เหตุ ทุกข์จึงจะระงับดับไปได้แน่นอน

วิธีแก้ก็ด้วยการธำรงจิตให้ถูกต้อง จะทำให้เห็นและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เป็นจริง แล้วจิตใจก็จะสมบูรณ์ด้วยปัญญา สามารถรู้เท่าทันเหตุปัจจัยทั้งหลายที่เคยปรุงแต่งให้หลงโง่เขลา ก็จะถูกขัดเกลาให้หมดไป บุคคลนั้นๆ ก็จะดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ปราศจากความทุกข์ทางวิญญาณโดยสิ้นเชิง

เมื่อเราสามารถธำรงจิตได้ถูกต้อง เราย่อมดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งได้อย่างสบาย สรรพสิ่งทั้งหลายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นปฏิปักษ์ชักนำให้ทุกข์เกิดแก่เรา ก็จะกลับกลายมาเป็นมิตร มาเป็นเครื่องอำนวยประโยชน์สุขให้แก่เรา เพราะเหตุว่าแท้จริงนั้น สรรพสิ่งหาได้เป็นเหตุแห่งทุกข์ไม่ ความหลงผิดต่างหากที่เป็นตัวการ

เมื่อความหลงผิดถูกกำจัดสูญสิ้นไป เพราะการรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เป็นจริง การปรุงแต่งให้จิตหลงผิดซ้ำๆ ซ้อนๆ ก็สลายตัวลงอย่างราบคาบสันติสุขถาวรย่อมดำรงอยู่ชั่วนิรันดร

ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่ดูลย์ ท่านจึงชอบใจนักหนากับคำกล่าวใน สูตรของเว่ยหล่าง ที่ว่า "คนโง่ย่อมหลบหลีกปรากฏการณ์ แต่ไม่หลบหลีกความคิดปรุงแต่ง ส่วนคนฉลาดย่อมหลบหลีกความคิดปรุงแต่ง และไม่จำเป็นต้องหลบหลีกปรากฏการณ์"

หน้าต่อไป