ประวัติและปฏิปทา

หน้าแรก ประวัติและปฏิปทา ธรรมและคำสอน รูปภาพ

โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

๗๙. ไม่หวั่นไหวในกาลทุกเมื่อ

ตราบเท่าทุกวันนี้ ผู้เขียน (พระโพธินันทมุนี หรือท่านเจ้าคุณสมณศักดิ์) ยังเห็นติดตาตรึงใจกับบุคลิกภาพอันมั่นคงแน่นอนของหลวงปู่ งดงามสมบูรณ์ด้วยเอกภาพอันน่าอบอุ่นใจแก่ผู้อยู่ใกล้ ใบหน้าที่สงบเยือกเย็นตลอดเวลา ประหนึ่งว่าแม้ภูเขาจะถล่มทลายตรงหน้าก็ดี อยู่ท่ามกลางสนามรบ ที่กำลังตะลุมบอนรบพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ก็ดี ความเปลี่ยนแปลงแม้น้อยหนึ่งก็จะไม่ปรากฏบนใบหน้านั้นเลย

มีเหตุการณ์หลายครั้ง ที่เล่าขานกันอยู่ในหมู่ลูกศิษย์ เกี่ยวกับความเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในกาลทุกเมื่อของหลวงปู่ ว่าท่านเป็นผู้ที่มีสติมั่นคงมาก ไม่เคยตื่นตระหนกตกใจหรือดีอกดีใจ หรือเสียอกเสียใจไปตามเหตุการณ์ แม้จะเกิดขึ้นใหญ่หลวงสักปานใดก็ตาม ท่านยังทรงไว้ซึ่งความเป็นปกติภาพทุกกรณี

มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าจะหยิบยกมาเล่าเป็นอุทาหรณ์ ดังต่อไปนี้

ครั้งนั้น ๔๐ ปีกว่าล่วงมาแล้ว เกิดมหันตภัยร้ายแรงที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ คือเกิดเหตุการณ์อัคคีภัยครั้งใหญ่ในตลาดจังหวัดสุรินทร์ ชาวบ้านชาวเมืองเรียกไฟไหม้ครั้งนั้นว่า "ไฟบรรลัยกัลป์" เพราะเป็นการลุกไหม้เผาผลาญอย่างวินาศสันตะโรจริงๆ

ไฟเริ่มไหม้ที่ใจกลางเมืองพอดี แล้วลุกลามขยายออกไปเป็นวงกลมรอบทิศ หน่วยดับเพลิงต่างสิ้นหวังและหมดปัญญาจะสกัดไฟได้ สามารถป้องกันได้เพียงบางจุดเท่านั้น ในส่วนอื่นๆ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม เป็นที่แน่ชัดว่าแทบทั้งเมือง จะต้องราพณาสูรไปด้วยแรงฤทธิ์ของพระเพลิงอย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งในวัดและบริเวณใกล้เคียงนั้น เกิดความโกลาหลทั่วไปหมด ชาวบ้านวิ่งกันสับสนอลหม่าน คนจำนวนมากวิ่งหนีเข้ามาหวังจะพึ่งวัด หอบลูกจูงหลานแบกข้าวของกันอึงคะนึง

พระเณรชีต่างก็อกสั่นขวัญหนี เพราะทั้งกุฏิและเสนาะสนะต่างๆ ในวัดและอาคารบ้านเรือนรอบๆ วัด ล้วนแต่เป็นไม้เก่าแก่นับว่าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ต่างไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไฟแลบเลียลุกไหม้ใกล้เข้ามา และจะต้องเข้ามาถึงในวัดอย่างไม่ต้องสงสัย

ความสับสนอลหม่านในวัดเกิดขึ้น จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทั้งชาวบ้านวิ่งชนพระเถรเณรชี และวิ่งขนข้าวของกันดูชุลมุนวุ่นวายไปหมด

พระเณรจำนวนหนึ่งกรูกันขึ้นไปบนกุฏิหลวงปู่ เห็นท่านนั่งจิบน้ำชาอยู่ด้วยสีหน้าปกติ ต่างก็ลนลานขอโอกาสท่านเพื่อขนของหนีไฟ หลวงปู่ห้ามว่า

"ไม่จำเป็น"

ไฟโหมลุกไหม้ใกล้วัดเข้ามาทุกที อีกไม่กี่คูหาก็จะถึงวัดแล้ว พระเณรกรูกันลงมาจากกุฏิหลวงปู่ วิ่งไปด้านหลังมณฑปหลวงพ่อพระชีว์ เห็นเปลวเพลิงแลบเลียใกล้เข้ามาจวนเจียนจะถึงวัดแล้ว จึงพากันวิ่งกรูขึ้นไปบนกุฏิหลวงปู่เพื่อช่วยกันขนย้ายอีก หลวงปู่ยังนั่งอยู่ที่เดิม แล้วห้ามไว้ด้วยอาการสงบเย็นว่า "ไม่จำเป็น"

ทันใดนั้น ขณะไฟลุกลามมาติดเขตวัด สุดยอดแห่งความบังเอิญที่เกิดขึ้น เกิดมีลมกรรโชกขึ้นมาอย่างแรง พัดกระพือจากทิศตะวันออกอันเป็นเขตวัด ตรลบกลับไปทางทิศตะวันตกอันเป็นเขตภายนอกวัด พัดเปลวไฟกลับไปสู่บริเวณที่ลุกไหม้อยู่ก่อน จนกระทั่งมอดไหม้สงบไปในที่สุด

มหันตภัยครั้งนั้นก็สิ้นสุดลง ด้วยความสูญเสียครั้งร้ายแรงของชาวบ้านร้านตลาดในจังหวัดสุรินทร์ ทุกคนภายในวัดต่างก็เหนื่อยอ่อนกันถ้วนทั่ว แต่ก็คลายใจขึ้นเมื่อไฟสงบลง เหล่าชาววัดค่อยหายใจทั่วท้องกันขึ้น

เหตุการณ์ครั้งนี้ ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะชี้ให้เห็นอิทธิฤทธิ์ หรือปาฏิหาริย์ประการใด แต่มุ่งแสดงให้เห็นว่า แม้แต่เหตุการณ์คับขันหลวงปู่ของเราก็มิได้แสดงอาการสะทกสะท้านหวั่นไหวอย่างใด แสดงถึงคุณลักษณะแห่งความ "ไม่หวั่นไหวในกาลทุกเมื่อ" ของท่าน

หน้าต่อไป