ตราบเท่าทุกวันนี้
ผู้เขียน (พระโพธินันทมุนี
หรือท่านเจ้าคุณสมณศักดิ์)
ยังเห็นติดตาตรึงใจกับบุคลิกภาพอันมั่นคงแน่นอนของหลวงปู่
งดงามสมบูรณ์ด้วยเอกภาพอันน่าอบอุ่นใจแก่ผู้อยู่ใกล้
ใบหน้าที่สงบเยือกเย็นตลอดเวลา
ประหนึ่งว่าแม้ภูเขาจะถล่มทลายตรงหน้าก็ดี
อยู่ท่ามกลางสนามรบ
ที่กำลังตะลุมบอนรบพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ก็ดี
ความเปลี่ยนแปลงแม้น้อยหนึ่งก็จะไม่ปรากฏบนใบหน้านั้นเลย
มีเหตุการณ์หลายครั้ง
ที่เล่าขานกันอยู่ในหมู่ลูกศิษย์
เกี่ยวกับความเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในกาลทุกเมื่อของหลวงปู่
ว่าท่านเป็นผู้ที่มีสติมั่นคงมาก
ไม่เคยตื่นตระหนกตกใจหรือดีอกดีใจ
หรือเสียอกเสียใจไปตามเหตุการณ์
แม้จะเกิดขึ้นใหญ่หลวงสักปานใดก็ตาม
ท่านยังทรงไว้ซึ่งความเป็นปกติภาพทุกกรณี
มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าจะหยิบยกมาเล่าเป็นอุทาหรณ์
ดังต่อไปนี้
ครั้งนั้น ๔๐
ปีกว่าล่วงมาแล้ว เกิดมหันตภัยร้ายแรงที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์
คือเกิดเหตุการณ์อัคคีภัยครั้งใหญ่ในตลาดจังหวัดสุรินทร์
ชาวบ้านชาวเมืองเรียกไฟไหม้ครั้งนั้นว่า
"ไฟบรรลัยกัลป์"
เพราะเป็นการลุกไหม้เผาผลาญอย่างวินาศสันตะโรจริงๆ
ไฟเริ่มไหม้ที่ใจกลางเมืองพอดี
แล้วลุกลามขยายออกไปเป็นวงกลมรอบทิศ
หน่วยดับเพลิงต่างสิ้นหวังและหมดปัญญาจะสกัดไฟได้
สามารถป้องกันได้เพียงบางจุดเท่านั้น
ในส่วนอื่นๆ
ต้องปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
เป็นที่แน่ชัดว่าแทบทั้งเมือง
จะต้องราพณาสูรไปด้วยแรงฤทธิ์ของพระเพลิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งในวัดและบริเวณใกล้เคียงนั้น
เกิดความโกลาหลทั่วไปหมด
ชาวบ้านวิ่งกันสับสนอลหม่าน
คนจำนวนมากวิ่งหนีเข้ามาหวังจะพึ่งวัด
หอบลูกจูงหลานแบกข้าวของกันอึงคะนึง
พระเณรชีต่างก็อกสั่นขวัญหนี
เพราะทั้งกุฏิและเสนาะสนะต่างๆ
ในวัดและอาคารบ้านเรือนรอบๆ
วัด
ล้วนแต่เป็นไม้เก่าแก่นับว่าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
ต่างไม่รู้จะทำอย่างไร
เพราะไฟแลบเลียลุกไหม้ใกล้เข้ามา
และจะต้องเข้ามาถึงในวัดอย่างไม่ต้องสงสัย
ความสับสนอลหม่านในวัดเกิดขึ้น
จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ทั้งชาวบ้านวิ่งชนพระเถรเณรชี
และวิ่งขนข้าวของกันดูชุลมุนวุ่นวายไปหมด
พระเณรจำนวนหนึ่งกรูกันขึ้นไปบนกุฏิหลวงปู่
เห็นท่านนั่งจิบน้ำชาอยู่ด้วยสีหน้าปกติ
ต่างก็ลนลานขอโอกาสท่านเพื่อขนของหนีไฟ
หลวงปู่ห้ามว่า
"ไม่จำเป็น"
ไฟโหมลุกไหม้ใกล้วัดเข้ามาทุกที
อีกไม่กี่คูหาก็จะถึงวัดแล้ว
พระเณรกรูกันลงมาจากกุฏิหลวงปู่
วิ่งไปด้านหลังมณฑปหลวงพ่อพระชีว์
เห็นเปลวเพลิงแลบเลียใกล้เข้ามาจวนเจียนจะถึงวัดแล้ว
จึงพากันวิ่งกรูขึ้นไปบนกุฏิหลวงปู่เพื่อช่วยกันขนย้ายอีก
หลวงปู่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
แล้วห้ามไว้ด้วยอาการสงบเย็นว่า
"ไม่จำเป็น"
ทันใดนั้น
ขณะไฟลุกลามมาติดเขตวัด
สุดยอดแห่งความบังเอิญที่เกิดขึ้น
เกิดมีลมกรรโชกขึ้นมาอย่างแรง
พัดกระพือจากทิศตะวันออกอันเป็นเขตวัด
ตรลบกลับไปทางทิศตะวันตกอันเป็นเขตภายนอกวัด
พัดเปลวไฟกลับไปสู่บริเวณที่ลุกไหม้อยู่ก่อน
จนกระทั่งมอดไหม้สงบไปในที่สุด
มหันตภัยครั้งนั้นก็สิ้นสุดลง
ด้วยความสูญเสียครั้งร้ายแรงของชาวบ้านร้านตลาดในจังหวัดสุรินทร์
ทุกคนภายในวัดต่างก็เหนื่อยอ่อนกันถ้วนทั่ว
แต่ก็คลายใจขึ้นเมื่อไฟสงบลง
เหล่าชาววัดค่อยหายใจทั่วท้องกันขึ้น
เหตุการณ์ครั้งนี้
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะชี้ให้เห็นอิทธิฤทธิ์
หรือปาฏิหาริย์ประการใด
แต่มุ่งแสดงให้เห็นว่า
แม้แต่เหตุการณ์คับขันหลวงปู่ของเราก็มิได้แสดงอาการสะทกสะท้านหวั่นไหวอย่างใด
แสดงถึงคุณลักษณะแห่งความ
"ไม่หวั่นไหวในกาลทุกเมื่อ"
ของท่าน