หลวงปู่เคยเล่าว่า
ความหนักอกหนักใจที่สำคัญอย่างหนึ่งของนักปฏิบัติคือ
การขาดกัลยาณมิตร
ที่มีความสามารถแนะนำแนวทาง
และวิธีแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติให้ได้ตลอดสาย
บางทีแม้มีกัลยาณมิตร คือ
มีครูบาอาจารย์ที่สามารถ
แต่ท่านก็บังเอิญอยู่ไกลบ้าง
โอกาสไม่อำนวยบ้าง
ทำให้ไม่อาจแก้ไขแนวทางปฏิบัติได้ทันท่วงที
ทำให้เกิดการเนิ่นช้าไปโดยใช่เหตุ
ที่ร้ายกว่านั้น ก็คือ
บางครั้งทำให้หลงวกวนไปไกลจนกระทั่งหลงผิดไปก็มี
บางกรณีถ้ามีผู้ชี้แนะให้ทันการ
ก็จะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง
ทั้งแก่เพื่อนนักปฏิบัติ
และทั้งแก่กิจการพระศาสนาเอง
ด้วยเหตุที่หลวงปู่เล็งเห็นอย่างนี้
ท่านจึงมักย้ำอยู่เสมอว่า
ผู้ใดมีปัญหาหรือข้อสงสัยแม้เล็กน้อยในทางปฏิบัติ
ขออย่าได้รีรอลังเล
หรือว่าเกรงอกเกรงใจอะไร
ขอให้ไปพบเพื่อไต่ถามท่านได้ตลอดเวลา
แม้ว่าเมื่อไปแล้วพบว่า
หลวงปู่เข้าที่ไปเสียแล้ว
ก็ขอให้เรียกได้ทันที
อย่าได้ต้องพลาดโอกาสให้สูญเสียประโยชน์ใหญ่
เพราะเหตุความเกรงใจเพียงเล็กน้อยเลย
ตัวอย่างในเรื่องนี้
เมื่อครั้งที่หลวงปู่นอนรับการรักษาพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
ขณะที่กำลังนอนใส่ท่อออกซิเจนช่วยหายใจอยู่
ได้มีผู้เข้ากราบเรียนถามธรรมะท่านหลังเที่ยงคืนไปแล้ว
หลวงปู่ไม่สามารถลุกนั่งได้
แต่ท่านก็เมตตาตอบให้จนผู้ถามพอใจ
และเมื่อกราบลากลับไปแล้ว
ท่านยังชมเขาว่า "รู้จักธรรมมะ
ใช้ได้"
หลวงปู่ได้พูดถึงตัวท่านว่า
ตัวท่านนั้นเป็นเพียงนักปฏิบัติเฒ่าชรา
ที่ผ่านประสบการณ์มานานปี
พอจะสามารถเป็นกัลยาณมิตรได้บ้าง
อย่าได้ลำบากใจว่าต้องมามีท่านเป็นครูบาอาจารย์
และตนเองต้องมาเป็นศิษย์
ขอให้ถือท่านเป็นเพื่อนผู้ร่วมศึกษาหาแนวทางรอด
หลวงปู่เองก็ไม่เคยถือใครว่าเป็นศิษย์
หรือถือตัวท่านเป็นอาจารย์ของผู้ใด
นี่เป็นปฏิปทาของหลวงปู่
ที่มีต่อเพื่อนสหธรรมิกทุกหมู่เหล่า
ปรากฏอยู่อย่างนี้เสมอมาจนตลอดชีวิตของท่าน
ท่านก็ไม่เคยอ้าง
หรือวางตนในฐานะครูบาอาจารย์เลย
ทั้งนี้ก็มียกเว้นบ้างสำหรับศิษย์ใกล้ชิดจริงๆ
ซึ่งท่านถือเป็นเสมือนลูกหลานหรือผู้คุ้นเคย
เวลาอธิบายชี้แจงปัญหาธรรม
หลวงปู่มักจะพูดว่า "ผมเข้าใจว่าอย่างนี้นะ
เท่าที่ผมเคยปฏิบัติมา
ผมแก้ไขอย่างนี้
ผมทำอย่างนี้
คุณลองนำไปประกอบพิจารณาดู
อาจจะได้ข้อคิดว่าควรปฏิบัติของตนอย่างไร"
หรือบางทีท่านก็ว่า "ท่านอาจารย์ใหญ่เคยบอกว่าอย่างนี้
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
เคยประสบแล้วท่านแก้อย่างนี้"
หรือว่า "ท่านอาจารย์ใหญ่เคยแนะไว้อย่างนี้
ผมก็พบมาและแก้ไขตัวเอง
แต่ของคุณจะเป็นอย่างไร
ลองเอาไปเทียบเคียงดู
เพราะธรรมของใครก็ของมัน
ธรรมของพระพุทธเจ้าก็ของพระพุทธเจ้า
ของท่านอาจารย์ใหญ่ก็ของท่านอาจารย์ใหญ่
ของผมก็ของผม
และธรรมของคุณก็ของคุณ
แม้มีเป้าหมายเดียวกัน
แต่ก็ไม่เหมือนกัน
ทางใครทางมัน"
ลูกศิษย์ลูกหาเคยถามว่า
"ได้ยินมาว่าท่านอาจารย์ใหญ่
(ท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต)
ท่านแนะแนวทางแก่ผู้สงสัยได้อย่างชัดเจน
เหมือนประสบด้วยตนเอง
ซึ่งบางครั้งผู้สงสัยไต่ถามเองยังบอกเล่าไม่ค่อยจะถูกด้วยซ้ำ
เป็นความจริงไหม?"
พอได้ยินนาม "ท่านอาจารย์ใหญ่"
เท่านั้น
หลวงปู่ก็รวบเนื้อรวบตัวอย่างเรียบร้อย
แล้วจึงตอบด้วยเสียงอันเปี่ยมไปด้วยคารวะนอบน้อมว่า
"ท่านอาจารย์ใหญ่ท่านมีญาณใหญ่หลวง
หาผู้ใดเทียบมิได้
ท่านย่อมแนะนำบุคคลได้อย่างถูกต้อง
ไม่มีผิดพลาดเลย"
ตามปกติ
ในด้านการคณะสงฆ์ก็ดี
ในด้านอื่นๆ ก็ดี
หลวงปู่จะตอบสนองปฏิบัติตนไปตามสมควร
อย่างธรรมดา
แต่สำหรับวงการปฏิบัติ
หรือยิ่งเมื่อมีผู้มาสนทนาไต่ถามปัญหา
จะสังเกตเห็นว่า
หลวงปู่ดูจะมีท่าทีคึกคักเข้มแข็งกว่าธรรมดา
สามารถอยู่สนทนากับนักปฏิบัติได้ดึกๆ
ดื่นๆ
ถึงตีสองตีสามหรือบางคืนถึงสว่างคาตาก็มี
ที่น่าประหลาดก็คือ
บางครั้งหลวงปู่ไม่ได้เป็นผู้พูดหรือผู้อธิบายอะไร
แต่ผู้อื่นเป็นผู้คุยให้ท่านฟัง
ท่านก็ฟังด้วยความเอาใจใส่สนใจอย่างจริงจัง
และด้วยท่าทางที่มีความสุขอย่างยิ่ง
เมื่อได้ฟังว่า
ผู้นั้นประสบปัญหาในทางปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้
ท่านก็จะซักว่าแก้ไขอย่างไร
เมื่อทราบว่าเขาแก้ไขได้แล้วเป็นอย่างนี้
แล้วต่อมาเป็นอย่างนี้
ท่านก็จะชื่นชมยินดี
ชมเชยว่ามีปัญญาแยบคายจริงๆ
แล้วเล่าเทียบเคียงว่า
เมื่อท่านเจอปัญหาแบบนี้
ท่านแก้อย่างนั้น
และท่านพระอาจารย์ใหญ่เคยสอนไว้ว่าอย่างนั้นๆ
ดูเป็นที่สนุกสนานบันเทิงในการสนทนาธรรมกันตลอดทั้งคืน
ด้วยอาการอย่างนี้