หลวงปู่เป็นผู้ที่มีความยินดีต่อการได้อธิบายปัญหาในแนวทางปฏิบัติธรรม
รวมทั้งยอมรับ
และชอบฟังแนวทางปฏิบัติของผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร
เด็กหรือผู้ใหญ่
ฆราวาสหรือบรรพชิต
ท่านให้ความสนใจและพอใจทั้งนั้น
ถ้ามีผู้สนใจ
และตั้งใจปฏิบัติแล้วปรากฏผล
เช่น มีนิมิตเกิดขึ้น
หรือมีลักษณะอาการอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น
เกิดสงสัยว่าควรปฏิบัติต่อไปอย่างไร
แล้วนำมาไต่ถาม
เพื่อให้ท่านชี้แนะแนวทาง
อย่างนี้หลวงปู่จะคึกคักเข้มแข็งเป็นพิเศษ
และจะให้คำแนะนำได้ตลอดสาย
โดยลักษณะการร่วมปรึกษาหารือ
และศึกษาเทียบเคียงดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
หลวงปู่มีปฏิภาณไหวพริบที่เฉียบคม
อธิบายได้รวบรัดจำกัดความ
ทั้งแน่นอนและตรงจุด
และก้าวหน้าไปตลอดเป็นลำดับไม่ขาดสาย
ไม่ทำให้ผู้สนใจไต่ถามผิดหวังเลย
ต่างก็ได้รับความพอใจและความอบอุ่นซึ้งใจโดยทั่วกัน
มีหลายท่านที่เคยศึกษาและปฏิบัติในสำนักต่างๆ
มาก่อน
บางท่านก็มีความภาคภูมิใจในวิหารธรรมของตน
พอใจว่าตนถึงที่สุดแล้วก็มี
เมื่อหลวงปู่ชี้แนะเพียงคำสองคำ
ท่านเหล่านั้นก็พอใจ
เข้าใจ
เกิดความปลอดโปร่งโล่งใจ
และออกปากว่าเบาใจและหายข้อสงสัยแล้ว
บางท่านเข้าใจตนเองผิดก็มี
เช่นตนเองติดอยู่ที่ "อสัญญีภพ"
อันเป็นจุดบอดอยู่ที่ "โคตรภูญาณ"
ซึ่งเป็นจุดรวมระหว่าง โลกียภูมิและโลกุตรภูมิ
ติดแนบแน่นอยู่ที่ตรงนั้นโดยไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย
กลับสำคัญว่าตนไม่ยึดมั่นถือมั่น
เพราะจิตไม่เกาะเกี่ยวอะไร
เกิดอวิชชาแห่งความไม่ยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา
เมื่ออยู่ตามปกติก็หงอยเหงาเซาซึม
เพราะจิตขาดความคล่องตัว
ขาดปัญญา
ยิ่งนานวันเข้าความงมโง่ก็ยิ่งเพิ่มพูน
แต่ตนเองไม่รู้ตัวต้องมีคนช่วย
ครั้นหลวงปู่แนะนำ
พอฟังได้ความเข้าใจก็สะดุ้งสะท้านขึ้น
ค่อยรู้สึกตัว
ในหลายกรณีหลวงปู่จะพูดจี้จุดแรงๆ
หรือไม่ก็เป็นคำที่เข้าไปจี้ใจ
กระแทกจุดจนกระทั่งจิตเคลื่อนออกจากอสัญญีภพนั้นๆ
ได้
หลวงปู่บอกว่า
เขาปฏิบัติมาได้ถึงขั้นนี้
ก็นับว่ามีความสามารถไม่น้อย
เพียงแต่กำลังสติอ่อนไปหน่อย
ไม่เหมาะสมกลมกลืนกัน
ปัญญาแก้ไม่ทัน
เลยตกอสัญญีภพไปอย่างน่าเวทนา
พอชี้แนะคำสองคำให้เขารู้เรื่องเข้าใจ
ต่อไปเขาก็แก้ไขได้เอง
เมื่อเขาปรับปรุงให้กำลังแก่ธรรมทั้งมวล
ผสมผสานสอดคล้องกลมกลืนกันได้
อริยมรรคสมังคี
ก็ย่อมเป็นไปเองตามกฎแห่งธรรมดา
บรรดาท่านทั้งหลาย
ทั้งที่มีภูมิการปฏิบัติสูง
ทั้งที่กำลังดำเนินไปอยู่และที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติ
ที่มาสนทนาธรรมไต่ถามปัญหากับหลวงปู่นั้น
ต่างก็มีหัวข้อธรรมและวิธีการไต่ถามแตกต่างกันไปโดยประการต่างๆ
ซึ่งล้วนน่าสนใจทั้งสิ้น
น่าเสียดายที่ผู้เขียนและผู้ใกล้ชิดอื่นๆ
มิได้สำเหนียกถึงการจดบันทึกรายละเอียดไว้
ไม่เช่นนั้นจะได้ตัวอย่างที่เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงแก่การศึกษาและปฏิบัติต่อไป
ในบรรดาการถามปัญหานั้น
มีการถามแปลกๆ
น่าพิศวงอยู่หลายท่าน
ตัวอย่างเช่น
ท่านพระอาจารย์เฉลียว
ถามหลวงปู่เพียงคำเดียวแล้วไม่ถามอะไรอีก
ผู้เขียน (พระโพธินันทมุนี)
ก็พาซื่อหวังให้ท่านได้ประโยชน์ที่อุตส่าห์แวะมา
จึงกระตุ้นท่านว่า "ทำไมไม่ถามต่อ"
ท่านตอบว่า "หมดคำถาม
พอใจในคำตอบของหลวงปู่แล้ว"
ที่แปลกประหลาดที่สุดคือ
ที่ผู้เขียนทราบแน่ชัด
เพราะเกิดขึ้นที่วัดบูรพารามนี่เอง
มีพระภิกษุผู้สนใจในการปฏิบัติ
และได้ดำเนินตามแนวทางที่หลวงปู่สั่งสอนมาพอสมควรแล้ว
วันหนึ่งขณะที่หลวงปู่นั่งพักผ่อนอยู่ใต้หอระฆัง
ภิกษุผู้นั้นเดินผ่านมาทางผู้เขียน
ผู้เขียนถามว่า "ท่านจะไปไหน"
ภิกษุผู้นั้นตอบว่า "มีปัญหาบางอย่างจะเรียนถามหลวงปู่"
ผู้เขียนก็ชี้บอกว่าหลวงปู่อยู่ที่หอระฆัง
ท่านก็เดินไปหาหลวงปู่
และเข้าไปนั่งใกล้ด้วยอาการนอบน้อมอย่างดี
ทั้งท่านรูปนั้น
ทั้งหลวงปู่ต่างองค์ต่างนิ่งเฉยเป็นเวลานานพอสมควร
สังเกตว่าไม่ได้พูดอะไรเลย
ได้แต่มองหน้ากันเงียบเฉยอยู่
ครั้นแล้วท่านรูปนั้นก็กราบลาหลวงปู่
ลุกขึ้นยอบตัวเดินมาจากหอระฆัง
ด้วยสีหน้าอิ่มเอิบยินดี
ผู้เขียนอดรนทนไม่ได้
เมื่อท่านผู้นั้นผ่านมาจึงถามว่า
"ไม่ได้ถามปัญหาหลวงปู่หรือ"
ท่านตอบว่า "ถามเรียบร้อยแล้ว"
, "อ้อ!
แล้วหลวงปู่ไม่ตอบหรือ" ,
"ตอบแล้ว"
ท่านยิ้มอย่างยินดี
ตอบว่า "หลวงปู่ตอบอย่างกระจ่างแจ้งชัดเจนและไพเราะเพราะพริ้งที่สุด"
ผู้เขียนอดกลั้นอยู่ไม่ไหว
ยอมปล่อยโง่ออกไปว่า "เอ๊ะ!
ก็ผมเห็นว่าท่านไม่ได้พูดอะไรนี่นา"
ท่านรูปนั้นหยุดยิ้ม
มองผู้เขียน แล้วพูดว่า "การพูดไม่สามารถตอบปัญหาได้ทุกปัญหาหรอก"
ว่าแล้วก็เดินจากไป
คำพูดนี้ยังจับใจผู้เขียนอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้