เรื่องน้ำฝนที่เกี่ยวกับเรื่องราวของหลวงปู่ยังไม่พอ
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘
วันนั้นตรงกับวันที่ ๑๐
เดือนพฤษภาคม
เป็นช่วงต้นฤดูฝน
ยังไม่ถึงฤดูฝนหรอก
เป็นปลายฤดูร้อน
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๘
เป็นกำหนดงานใหญ่
เนื่องจากได้สร้างพิพิธภัณฑ์หลวงปู่แล้ว
ได้กำหนดการบรรจุอัฐิธาตุหลวงปู่
และเปิดพิพิธภัณฑ์ด้วย
ได้กราบอาราธนาท่านเจ้าประคุณ
สมเด็จพระญาณสังวร
วัดบวรนิเวศฯ (สมัยนั้นยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช)
ไปเป็นองค์ประธาน
ด้วยพระเมตตาของท่านแผ่ไพศาล
เมื่อท่านเสด็จไป
ชาวสุรินทร์ถวายการต้อนรับอย่างล้นหลาม
กลางคืนก่อนวันจัดงาน
ฝนตกหนักที่สุดจนปะรำพิธีต่างๆ
ในบริเวณงานล้มระเนระนาดหมด
ฝนตกหนัก
และหนักทั่วประเทศ
โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ
ฝนตกหนักมาก
เป็นครั้งที่มหาจำลอง
ศรีเมือง บอกว่าเป็น "ฝนพันปี"
คือตกหนักที่สุดในรอบ ๑,๐๐๐
ปี เห็นว่าอย่างนั้น
ถ้าหากไม่ใช่เป็นต้นฤดูฝน
กรุงเทพฯ คงจะมีอาการหนัก
คือถ้าเป็นฝนปลายฤดูเหมือนปี
๒๕๒๖ กรุงเทพฯ
คงจะถูกน้ำท่วมหนักกว่านั้น
ชาวกรุงเทพฯ
ลองคิดดูเอาเอง
อาตมาอยู่บ้านนอกได้แต่สดับตรับฟังข่าวเท่านั้น
ในกรุงเทพฯ
น้ำท่วมเพียงไม่กี่วัน
ท่านพลตรีจำลอง
ท่านได้ชื่อเสียงสามารถกำจัดฝน
๑,๐๐๐ ปี
ให้แห้งได้ภายในวันสองวัน
แต่ถ้าหากเป็นช่วงปลายฤดู
คิดว่าท่านจำลอง ๓๐ คน
ก็คงจะเอาไม่อยู่
อันนี้เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น
นั่นคือเหตุการณ์ที่ว่างานบรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่ครั้งนั้น
ทำให้คนกรุงเทพฯ
ไปร่วมงานไม่ได้อีกเหมือนกัน
หลายคณะต่างก็งดไปไม่ได้
อันนี้เป็นเรื่องของหลวงปู่ที่เกี่ยวเนื่องกับฝนตกเช่นกัน
ทีนี้หลังจากหลวงปู่มรณภาพแล้ว
ก็จัดทำบุญหลวงปู่ในงานครบรอบต่อมาโดยลำดับ
อันนี้ก็เจอฝนบ้างไม่เจอบ้าง
งานหลวงปู่ที่วัดมี ๒
ระดับ คือ
วันครบรอบมรณภาพของท่าน
วันที่ ๒๙-๓๐
ตุลาคมของทุกปี
และอีกวันหนึ่งที่อาตมาภาพจัดเป็นการภายใน
จัดส่วนตัว คือวันที่ ๘
กรกฎาคม ซึ่งเป็น วันมลายขันธ์
หลวงปู่
คือวันเผาไหม้ให้ร่างหลวงปู่หมดไป
งานนี้บอกญาติๆ
และลูกศิษย์ไม่กี่คน
เพียงนิมนต์พระกัมมัฏฐานมา
๓๒ รูป
มารับบิณฑบาตที่บริเวณพิพิธภัณฑ์
ที่มณฑปอัฐิธาตุหลวงปู่ถือเป็นงานย่อย
สำหรับงานที่ทำใหญ่
ทำเป็นทางการคือวันที่ ๒๙-๓๐
ตุลาคม จัดเป็นประจำทุกปี
ในงานนี้จัดทีไรเจอฝนทุกครั้งไปเลย
จนถึงปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน