โดยปกติ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จัดว่าเป็นผู้ที่มีสุขภาพอนามัยดีเยี่ยมคนหนึ่งตราบเท่าอายุเข้าปีที่
๗๕
นอกจากเคยเป็นไข้ป่าเมื่อตอนออกธุดงค์ที่ป่าท่าคันโทแล้ว
ก็ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรเบียดเบียนท่านเลย
นอกจากไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ
ในบางครั้งเท่านั้น
ทั้งนี้
ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลเนื่องมาจากการดำรงศีลวัตรด้วยสุปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็เป็นได้
ทำให้ท่านมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตดีสมบูรณ์อยู่เสมอ
เมื่อเปรียบเทียบกับญาติพี่น้องของท่าน
จะเห็นว่าทุกคนเสียชีวิตก่อนอายุ
๗๐ ปี
มีเพียงหลวงปู่องค์เดียวที่ยังดำรงขันธ์มาได้ยาวนาน
เพิ่งป่วยเข้าโรงพยาบาลครั้งแรกเมื่อท่านอายุได้
๗๕ ปี
หลังจากมาพำนักที่วัดบูรพารามได้
๓๐ ปีเศษ
ต้นเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๘
หลวงปู่มีอาการอาพาธรุนแรงเป็นครั้งแรก
หมอสันนิษฐานว่าเป็น
โรคตับอักเสบ
มีอาการปวดท้องรุนแรงเป็นครั้งคราว
ฉันอาหารไม่ได้
ฉันทีไรเป็นต้องอาเจียนออกมาภายหลัง
ทำให้เป็นที่วิตกกันในหมู่สานุศิษย์
การอาพาธครั้งนี้หลวงปู่ได้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสุรินทร์
เป็นเวลา ๙ วัน
ก็หายเป็นปกติ
ในการเจ็บป่วยครั้งนี้
หลวงปู่ไม่ได้แสดงท่าทีปริวิตกให้เห็นแต่ประการใด
สีหน้ายังคงสงบเฉยอยู่ตามปกติ
เป็นคนไข้ที่ผู้เป็นพยาบาลไม่ต้องทำอะไรพิเศษไปกว่าที่เคยทำในชีวิตประจำวัน
นอกจากการถวายยาตามที่หมอสั่งเท่านั้น
ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงที่ถวายน้ำเกลือทางเส้นเลือดก็ดี
ในช่วงเวลาที่อาการเจ็บปวดกำเริบก็ดี
สีหน้าของท่านยังคงสงบเหมือนเดิม
พระผู้เฝ้าพยาบาลเล่าว่า
ก็มีอยู่นิดเดียว
คือตอนที่โรคเสียดแทงรุนแรงเกิดความเวทนากล้า
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของท่านจะกระตุกอยู่
๒-๓ ครั้ง
แล้วก็สงบลงตามเดิม
นัยน์ตาท่านหลับนิ่ง
ดูใบหน้าสงบเสงี่ยมงดงาม
มีอยู่ประการหนึ่งที่ทำให้ลูกศิษย์ลูกหาผู้เฝ้าพยาบาลยินดีพอใจ
ถึงกับต้องแย่งหน้าที่กันคอยเฝ้าพยาบาลก็คือ
เมื่อหลวงปู่อาพาธ
ภารกิจอื่นๆ
ของท่านก็เป็นอันต้องงด
และการหลับตาพักผ่อนของหลวงปู่จะมีเพียง
๒ ระยะ คือ
ตอนดึกที่ต้องพักผ่อนตามปกติ
คืนละ ๒-๓ ชั่วโมง
กับตอนที่เกิดเวทนาแรงกล้าเท่านั้น
ดังนั้น
หลวงปู่จึงมีเวลาว่างพอที่จะพูดคุย
และตอบปัญหาต่าง ๆ
ที่มีผู้เรียนถามได้
ผู้เฝ้าพยาบาลจึงมีโอกาสได้ใกล้ชิดหลวงปู่
ได้ยินได้ฟังเรื่องราวดีๆ
รวมทั้งเรื่องพิสดารที่หาฟังได้ยาก
ก็มีโอกาสตอนนั้นแหละ
ผู้ที่มีโอกาสได้เฝ้าพยาบาลหลวงปู่จึงถือเป็นวาสนาดีที่ใครๆ
ทำได้ยาก