หลังจากที่หลวงปู่เคยเข้ารักษาอาพาธในโรงพยาบาลครั้งแรกเมื่อ
พ.ศ.๒๕๐๘ หลังจากนั้นอีก ๑๘
ปี
เมื่อท่านเจริญขันธ์มาจนถึง
๙๕ ปี
ท่านจึงมีอาการผิดปกติด้านสุขภาพอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๖
หลวงปู่เริ่มมีอาการปวดชาตั้งแต่บั้นเอวลงไปถึงปลายเท้า
เริ่มเป็นด้านซ้ายข้างเดียวก่อน
ความจริงเคยเป็นเล็กน้อยมานานแล้ว
เคยนวดถวายท่านก็สังเกตเห็นได้ว่า
ชีพจรเดินเบามาก
ต่อมาอาการอย่างนี้ก็ลามมาที่ขาข้างขวา
ท่านบอกว่ารู้สึกเหมือนจะปวดหนักปวดเบาอยู่ตลอดเวลา
พาไปเข้าห้องน้ำก็ถ่ายไม่ออกทั้งหนักและเบา
แถมยังมีอาการเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนระคนกัน
จะให้คนไปตามหมอ
ท่านก็ห้ามบอกว่า "ไม่จำเป็น"
ความจริงท่านไม่เคยเรียกหาหมอ
หรือใช้ให้ใครไปตามหมอ
ตลอดจนไม่เคยบอกให้ใครพาไปโรงพยาบาล
เท่าที่เคยมีหมอมารักษาพยาบาล
หรือเคยเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลนั้น
ล้วนเป็นเรื่องของลูกศิษย์ลูกหาเป็นห่วงและขอร้องท่านทั้งสิ้น
ในคืนนั้น
ถ้าไม่สังเกตให้ลึกจะไม่รู้เลยว่าท่านอาพาธอย่างรุนแรง
ใบหน้าและผิวพรรณดูเป็นปกติ
สงบเย็น
ไม่มีความวิตกกังวล
เหมือนท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย
ผู้รักษาดูแลท่านอย่างใกล้ชิดมาตลอดจะรู้สึกว่าหลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียมากในคืนนั้น
และแสดงว่าอ่อนเพลียมากขึ้นทุกที
จึงต้องตัดสินใจพาท่านไปเข้าโรงพยาบาลสุรินทร์เมื่อเวลาประมาณ
๐๔.๐๐ น.
ตั้งแต่ไปถึง จนถึง ๐๘.๓๐ น.
ของเช้ามืดวันที่ ๒๘
มกราคม
หมอได้ให้น้ำเกลือและสวนปัสสาวะออก
แต่อาการของหลวงปู่ยังไม่ดีขึ้น
ถึงกระนั้นท่านก็รบเร้าขอให้พาออกจากโรงพยาบาล
ไม่มีใครกล้าทัดทาน
จึงต้องนำท่านกลับวัดเมื่อเวลา
๑๕.๔๐ น. วันเดียวกัน
เมื่อกลับถึงวัดคณะศิษย์ได้ปรึกษาหารือกันและตกลงจะนำหลวงปู่เข้ากรุงเทพฯ
ครั้งแรกจะไปรักษาที่โรงพยาบาลธนบุรี
ตั้งใจจะออกเดินทางเช้าวันที่
๒๙ มกราคม เวลา ๐๙.๐๐ น.
ตลอดคืนที่ผ่านมา
สังเกตดูอาการป่วยของหลวงปู่หนักขึ้น
ทั้งอากาศก็หนาวจัดอีกด้วย
ตอนเช้าถวายอาหารท่าน
ท่านก็ฉันได้เพียงเล็กน้อย
เมื่อใกล้จะถึงเวลาออกเดินทาง
ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์กำลังยืนดูแลความเรียบร้อยอยู่นอกกุฏิหลวงปู่
มีพระภิกษุบางท่านเข้ามาคัดค้านแสดงความไม่เห็นด้วยที่จะนำหลวงปู่เข้ากรุงเทพฯ
โดยเหตุว่า "หลวงปู่อ่อนเพลียมากแล้ว
ไม่ควรนำท่านไป
ขืนไปก็คงไม่ถึงกรุงเทพฯ
แน่"
ท่านเจ้าคุณจึงพูดกับท่านเหล่านั้นว่า
"เท่าที่ท่านแสดงความเห็นมานี้
นับว่าเป็นการถูกต้องแล้ว
ในฐานะที่เป็นศิษย์ย่อมมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะคัดค้านได้
แต่ผมเห็นว่า
ถ้าไม่ไปก็มีทางเดียว
คือหลวงปู่หมดลมแน่
แต่ถ้าไปยังมีสองทาง
เพราะฉะนั้นต้องไป"
และก่อนออกเดินทางนั้นเอง
คุณหมอทวีสิน
ส่งข่าวให้ทราบว่าได้ติดต่อประสานงานที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
ให้แล้ว
จึงขอให้เปลี่ยนจากโรงพยาบาลธนบุรีไปเป็นโรงพยาบาลจุฬาฯ
แทน
ตั้งแต่รถพยาบาลเคลื่อนออกจากวัด
หลวงปู่นอนสงบนิ่งตลอด
จนกระทั่งถึงอำเภอนางรอง
จังหวัดบุรีรัมย์ เวลา ๑๑.๐๐
น.
จึงหยุดรถเพื่อถวายเพลหลวงปู่
โดยไปจอดหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เจ้าของร้านตื่นเต้นดีใจมาก
เพราะหลวงปู่เคยมาทำพิธีเปิดร้านให้
เป็นการแวะมาจอดโดยบังเอิญ
เขาจัดแจงถวายอาหารเป็นอย่างดี
แต่หลวงปู่ฉันข้าวต้มได้เพียงเล็กน้อย
ระยะทางจากสุรินทร์ถึงกรุงเทพฯ
รถวิ่งตามปกติใช้เวลา ๖-๗
ชั่วโมง
แต่วันนั้นขอไม่ให้วิ่งเร็วเพราะเกรงหลวงปู่จะกระเทือน
จึงใช้เวลาถึง ๙ ชั่วโมง
ตลอดระยะการเดินทางหลวงปู่นอนสงบเงียบ
ไม่มีเหตุอะไรให้น่าวิตกตลอดการเดินทาง
ถึงโรงพยาบาลจุฬาฯ เวลา ๑๗.๔๐ น.
ต้องพาหลวงปู่เข้ารักษาที่ตึกฉุกเฉิน
เนื่องจากเป็นวันเสาร์และนอกเวลาราชการ
ในตอนนี้ลูกศิษย์ลูกหาต่างทุกข์กังวล
ที่เห็นอาการของหลวงปู่หนักมาก
แถมยังลำบากต้องเดินทางไกล
และยังต้องรอเวลาให้หมอตรวจเป็นเวลานาน
หมอสอบถามข้อมูลหลายอย่างและฉายเอกซเรย์ด้วย
เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้พาหลวงปู่เข้าพักที่ห้องพักพิเศษ
ตึกวชิราวุธ ชั้น ๒
หมายเลขห้อง ๒๒