เพราะเหตุที่มาถึงโรงพยาบาลนอกเวลาราชการ
หลวงปู่จึงต้องเข้าตึกคนไข้ฉุกเฉินเสียก่อน
ไม่ใช่ห้อง ไอ.ซี.ยู.
ตามที่บางท่านเข้าใจ
หลวงปู่เข้าพักได้ประมาณ
๒ ชั่วโมงกว่า คุณหมอจรัส
กับคณะ
ก็มาตรวจอาการแล้วบอกว่า
ต้องเอาหลวงปู่เข้าห้องเอกซเรย์อีก
เพราะมีความจำเป็นมาก
แม้จะเห็นหลวงปู่อ่อนเพลียมากก็ต้องทำ
ตอนนั้นเวลา ๕ ทุ่มแล้ว
หลวงปู่ท่านนอนสงบนิ่ง
จนบางท่านคิดว่า
ท่านคงจะมรณภาพละทิ้งสังขารไปแล้ว
ต้องใส่ท่อออกซิเจนช่วยหายใจนานนับ
๕ ชั่วโมง
การทำงานของหมอจึงแล้วเสร็จ
แต่การวินิจฉัยของหมอในคืนนั้นไม่ได้รับผลอะไรเลย
เมื่อยกหลวงปู่ขึ้นนอนบนแท่นฉายในห้องเอกซเรย์แล้ว
เจ้าหน้าที่ก็ลงมือฉาย ๒
ชั่วโมงกว่าก็ยังไม่เสร็จ
สงสัยว่าเครื่องฉายเสียหรือฟิล์มหมดอายุ
เพราะปรากฏว่าฟิล์มที่ออกมาแต่ละแผ่นดำสนิทมองไม่เห็นอะไรเลย
ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์
(พระโพธินันทมุนี)
บันทึกไว้ว่า ใช้ฟิล์มเอกซเรย์หลายแผ่น
หนาเกือบครึ่งคืบ
ก็ไม่ได้ผลเลย
ทั้งจอภาพก็ไม่ปรากฏภาพให้เห็นได้ตลอด
มีเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง
ต้องฉายแล้วฉายอีกตั้งหลายครั้ง
หลวงปู่คงต้องอดทนอย่างมาก
เห็นท่านนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติงเลย
พยาบาลจะฉีดยา
จะให้น้ำเกลือ
ก็ทำไม่สะดวก
บางครั้งก็แทงเข็มไม่เข้าบ้าง
จนหมอบอกว่า
ร่างกายของท่านไม่รับ
ทางหมอเองก็ท้อใจและแปลกใจ
คุณหมอสตรีท่านหนึ่งออกมาถามคณะศิษย์ว่า
"ทำไมถึงเป็นอย่างนี้"
ต่างคนต่างก็ไม่ทราบ
และไม่มีใครกล้าตอบ
เมื่อมาคิดดู
โดยลักษณะนี้อาจเป็นว่า
หลวงปู่คงจะเข้าสมาธิส่วนลึกและละเอียดเพื่อระงับทุกขเวทนา
เพราะเวลา ๑๔
ชั่วโมงที่ผ่านมา
ท่านหลับตาอยู่อย่างนั้นโดยไม่ไหวติงเลย
ตลอดเวลาเข้าห้องฉุกเฉิน
ตรวจร่างกาย ฉายเอกซเรย์
ตลอดจนเข้าห้องพัก
แล้วกลับเข้าห้องเอกซเรย์อีก
ตลอดเวลา ๑๔ ชั่วโมงนั้น
ท่านอาจไม่ได้รับรู้การกระทำของพวกเราเลยแม้แต่น้อยก็เป็นได้
เมื่อได้เห็นภาพหลวงปู่นอนสงบอยู่บนเตียงพยาบาล
ได้รับการดูแลรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่
มีการให้ออกซิเจนช่วยหายใจ
ให้น้ำเกลือ
และให้อาหารทางสายยางเป็นที่เรียบร้อยพอวางใจได้แล้ว
ความวิตกกังวล
ความเคร่งเครียดกระวนกระวายที่มีอยู่ในหัวสมองของผู้เขียน
(พระครูนันทปัญญาภรณ์)
เป็นเวลานาน
นับตั้งแต่ออกเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์มา
ก็ได้บรรเทาเบาบางลงและรู้สึกโล่งใจ
เกิดความมั่นใจว่าหลวงปู่จะต้องหายได้ในครั้งนี้อย่างแน่นอน
ครั้นเวลาตี ๓ ล่วงแล้ว
หมอกลับไปหมดแล้ว
หลวงปู่จึงลืมตาขึ้นพร้อมกับคำถามประโยคแรกว่า
"หมอตรวจเสร็จแล้วหรือ"
ได้กราบเรียนท่านว่า "เสร็จแล้วครับ"
ท่านก็สั่งว่า "ให้กลับเดี๋ยวนี้"
หมายถึงให้พากลับวัด
ต้องค่อยพูดอธิบายให้ท่านทราบว่า
ท่านยังกลับไม่ได้
ต้องอยู่พักรักษาที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน
พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ท่านทราบโดยตลอด
ท่านก็ฟังเฉยโดยไม่ว่าอะไร
ในวันนั้นคณะศิษย์ได้กราบเรียนท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน)
ให้ทรงทราบ
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ
จึงเจริญพรไปยังสำนักพระราชวังต่อไป