นับตั้งแต่ปี
๒๔๗๗ เมื่ออายุ ๔๖ ปี
จนถึงวาระสุดท้ายเมื่ออายุ
๙๖ ปีกับ ๒๖ วัน หลวงปู่ดูลย์
อตุโล
มิได้ไปจำพรรษาที่ไหนอีกเลย
ด้วยความซื่อสัตย์มั่นคงต่อภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
ท่านได้บากบั่นเอาชนะอุปสรรคนานาด้วยความอดทนและทุ่มเท
ต้องบริหารการคณะสงฆ์
ทั้งด้านการปกครอง
การศึกษา การเผยแพร่
และสาธารณูปการ
รวมทั้งการก่อสร้างปฏิสังขรณ์
แผ่ขยายสังฆมณฑลสร้างวัดใหม่ทั้งฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีอย่างมากมาย
ทั้งในจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์
ศิษยานุศิษย์ก็เพิ่มทวีคูณขึ้นเป็นลำดับ
แม้หลวงปู่จะอยู่ในปัจฉิมวัยก็ตาม
ท่านก็ยังมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง
เป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยพรหมวิหารธรรมเป็นนิจ
ผู้ใดใคร่จะได้เข้าไปพบนมัสการเวลาไหนไม่มีจำกัด
ไม่มีพิธีรีตองให้ต้องยุ่งยากลำบากหรืออึดอัดใจ
พร้อมจะสงเคราะห์ในกิจนิมนต์ของพุทธศาสนิกชนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ
ใครจะเอารถมารับก็ได้
ไม่มารับก็เดินไปด้วยระยะทางนับสิบๆ
กิโลเมตร
ท่านก็ยินดีไปสงเคราะห์ได้
โดยไม่มีการบ่นหรือเกี่ยงงอนอะไรกับใคร
ไม่ว่าจะเป็นสถานที่หรือจังหวัดไกลๆ
ถ้ามีผู้ศรัทธานิมนต์ท่านก็ยินดีสงเคราะห์เสมอ
อนึ่ง
แม้ว่าท่านจะมิได้ออกธุดงค์ตามเจตนาเดิมก็ตาม
ท่านก็ยังถือธุดงควัตรเป็นนิสัยตลอดมา
ผลที่ท่านเคยประพฤติปฏิบัติมาทำให้ท่านมีชีวิตที่บริสุทธิ์งดงามในสมณวิสัย
พอสรุปลักษณะเด่นๆ
ที่ปรากฏในองค์ท่านได้ดังนี้
บำเพ็ญเพียรทางจิตเป็นปกติไม่ขาดสาย
ไม่เคยบกพร่อง
กลางคืนจะพักผ่อนเพียง ๒
ชั่วโมงเท่านั้น
สงบเสงี่ยมเยือกเย็น
ไม่หวั่นไหวแปรปรวน
หรือตื่นเต้นตามเหตุการณ์
มีใบหน้าสงบราบเรียบ
ผิวพรรณผ่องใส
โดยเฉพาะวันโกน
หลังปลงผมเสร็จจะดูผ่องใสงดงามเป็นพิเศษ
มีอุเบกขาต่อความลำบาก
ไม่เคยบ่นเรื่องอาหาร
ที่อยู่
และความสะดวกสบายทั้งหลาย
มีความเป็นอยู่ง่าย
เมื่อขาดไม่ดิ้นรนแสวงหา
เมื่อมีไม่สั่งสม
เป็นอยู่ตามมีตามได้
ฉันมื้อเดียวตลอดมาเว้นแต่เมื่อมีกิจนิมนต์จึงอนุโลมฉันสองมื้อบ้าง
และลูกศิษย์อ้อนวอนขอให้ฉัน
๒
มื้อเมื่ออาพาธและชราภาพมากแล้ว
มีโรคน้อย
สุขภาพแข็งแรงดี
พลานามัยดี
มีสัจจะ
พูดอะไรต้องทำอย่างนั้น
ตั้งใจทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ
มีปฏิภาณไหวพริบดี
ชี้ข้อธรรมะได้ถูกต้องชัดเจน
สั้นและง่าย
แนะแนวทางปฏิบัติได้ตลอดสาย
"สลฺลหุกวุตฺติ"
เป็นผู้มีความประพฤติเบาพร้อมเป็นปกติ
กระฉับกระเฉงว่องไว
เดินตัวตรงและเร็ว
ไม่มีอาการหลงลืมหงำเหงอะเลอะเลือน
ไม่มีใครเคยเห็นท่านแสดงอาการงัวเงียง่วงเหงา
เมื่อตื่นนอนจะลุกขึ้นทันที
สีหน้าไม่เหมือนคนผ่านการนอน
เหมือนคนที่ตื่นพร้อมเต็มที่เสมอ
ไม่เคยปรากฏแววหมองคล้ำอิดโรยหลังจากผ่านงานกลางแจ้งมาอย่างหนัก
นอกจากอาการอ่อนเพลียทางร่างกายบ้างเล็กน้อย
ไม่มีเหงื่อไคลไหลโทรม
นิยมการทำตัววางตัวง่ายๆ
ไม่มีพิธีรีตอง
มักตำหนิผู้ที่เจ้าบทเจ้าบาทมากเกินควร
บทสวดมนต์ที่โปรดปราน "อรุญฺเญ
รุกฺขมูเล วา สุญฺญาคาเร ว
ภิกฺขโว" เป็นต้น
แสดงถึงจิตใจที่ใฝ่วิเวกของท่าน
ศิษยานุศิษย์ทุกคนให้ความรักเคารพและยำเกรงอย่างสุดซึ้ง
ประหนึ่งท่านเป็นบิดาบังเกิดเกล้า
เพราะจริยาวัตรของท่านเปี่ยมพร้อมไปด้วยพรหมวิหารธรรมอย่างแท้จริง
ทุกคนเรียกหลวงพ่อ
หลวงปู่
ได้อย่างสนิทปากสนิทใจ
คติธรรมประจำใจที่สอนผู้อื่น
"อย่าส่งจิตออกนอก" พร้อมทั้งปริศนาธรรมว่า
"คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้
ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้
แต่ต้องอาศัยคิด"
คำสอนที่สั้นที่สุด "หยุดคิดหยุดนึก"
หรือหยุดกิริยาจิตในกายยาววาหนาคืบนี้
นิมิตในคำสอนของท่านมี ๒
คือ รูปนิมิต กับ นามนิมิต
สิ่งที่ถูกรู้และถูกเห็นทั้งสิ้นเรียกว่า
รูปนิมิต
ญาณทั้งหลายมีบุพเพนิวาสานุสติญาณ
จุตูปปาตญาณ เป็นต้น
ชื่อว่านามนิมิต นิมิตทั้งสองไม่ควรใส่ใจทั้งสิ้น
สรุปหลักธรรมของท่านในแนวอริยสัจสี่คือ
"จิตที่ส่งออกนอก
เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก
เป็นทุกข์
จิตเห็นจิต เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต
เป็นนิโรธ"