งบลงทุน เป็นกระบวนการในการวางแผนและการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในโครงการต่างๆ ของธุรกิจ เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับเงินลงทุนในธุรกิจที่ได้ลงทุนในปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นผลสำเร็จในอนาคต หรือเป็นกระบวนการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจ เพื่อประเมินความสัมพันธ์ ระหว่างรายจ่ายและผลประโยชน์ที่จะได้รับ จากการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการจัดสรรทรัพยากรสำหรับลงทุนในระยะยาว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า งบลงทุนเป็นการวางแผนในระยะยาวของธุรกิจ และมีลักษณะแตกต่างจากงบประมาณโดยทั่วไปของธุรกิจ
ความสำคัญของงบลงทุน มีดังนี้
1. เป็นการวางแผนการใช้จ่ายในการซื้อสินทรัพย์ถาวรของธุรกิจ
2. เป็นกระบวนการวิเคราะห์โครงการ และการตัดสินใจว่าสินทรัพย์ถาวรนั้นจะรวมอยู่ในงบลงทุนหรือไม่
3. เป็นวิธีการหรือกระบวนการวิเคราะห์โครงการ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจ
นอกจากนี้ ความสำคัญของงบลงทุนยังประกอบไปด้วยปัจจัยหลายประการ
ได้แก่ การตระหนักถึงผลกระทบจาการตัดสินใจในงบลงทุน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน
บางครั้งอาจมากกว่า 10 ปี เป็นเหตุให้ผู้ที่ตัดสินใจขาดความคล่องตัวด้านการเงิน
ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจซื้อสินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานทางเศรษฐกิจ 10 ปี เพื่อขยายการลงทุนในสินทรัพย์ถือเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์กับการพยากรณ์ยอดขาย
เพราะหากธุรกิจตัดสินใจซื้อสินทรัพย์ถาวรซึ่งคาดว่าจะมีความคงทนถึง 10 ปี นั้นก็หมายความว่า
จะต้องพยากรณ์ยอดขายถึง 10 ปี เช่นกัน ดังนั้นการพยากรณ์ถึงความต้องการของสินทรัพย์อาจส่งผลเสียค่อนข้างร้ายแรงต่อธุรกิจได้
ถ้าการพยากรณ์ผิดพลาด เพราะฉะนั้น การวางแผนงบลงทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็น ควรมีการวางแผนการเงินล่วงหน้า
เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการลงทุนตามแผน
การบริหารงบลงทุนที่มีประสิทธิภาพจึงต้องมีการปรับปรุง ทั้งในเรื่องของเวลาและคุณภาพของสินทรัพย์
กิจการที่ประสบความสำเร็จในการพยากรณ์ถึงความต้องการด้านสินทรัพย์ประเภททุนไว้ล่วงหน้า
ก็จะสามารถจัดซื้อและติดตั้งสินทรัพย์ก่อนที่จะมีการดำเนินด้านการขายได้อย่างเต็มกำลัง
ประเภทของโครงการลงทุน
1. โครงการทดแทน : การซ่อมบำรุงรักษา ( Replacement : maintenance of business ) เป็นโครงการที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการซื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อซ่อมแซม หรือทดแทนเครื่องมือ เครื่องจักรที่ชำรุดเสียหาย เพื่อจะได้นำมาใช้ใหม่ในการผลิตสินค้าต่อไป โครงการที่ต้องจัดหาสิ่งต่าง ๆ มาแทนที่นี้เป็นโครงการที่จำเป็นถ้าบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจต่อไป
2. โครงการทดแทน : การลดต้นทุน ( Replacement : cost reduction ) เป็นโครงการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการบริหารเพื่อลดต้นทุนด้านแรงงาน วัสดุ และปัจจัยนำเข้าอื่นๆ เช่น กระแสไฟฟ้า หรือ การใช้แก๊สแทนน้ำมันเบนซินของรถรับจ้างโดยสาร
3. โครงการขยายตลาดเดิมหรือผลิตภัณฑ์เดิม ( Expansion of existing produsts or markets ) เป็นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มผลผลิต หรือขยายร้านค้าปลีก หรืออำนวยความสะดวกในตลาด การตัดสินใจเหล่านี้จะมีความซับซ้อน เพราะจะต้องพยากรณ์เกี่ยวกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นด้วย
4. โครงการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่หรือตลาดใหม่ ( Expansion into new products or markets ) เป็นโครงการลงทุนเพื่อผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือขยายขอบเขตการค้าตามเขตภูมิศาสตร์ออกไป โครงการเหล่านี้จะต้องอาศัยการตัดสินใจด้านกลยุทธ์ เพราะมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และการจ่ายคืนช้า ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์รายละเอียด และการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะทำโดยผู้บริหารระดับสูง และจัดทำเป็นแผนกลยุทธ์ของบริษัท
5. โครงการเพื่อความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ( Safety and / or environmental projects ) เป็นโครงการที่จะต้องใช้จ่ายที่จำเป็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาล เช่น ด้านแรงงาน นโยบายการประกันการดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ จะขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการที่ต้องปฏิบัติตาม
6. โครงการอื่นๆ ( Other ) เป็นโครงการที่แตกต่างจากโครงการที่1-5 เช่น โครงการสร้างสำนักงานใหม่ โครงการสร้างคลังเก็บสินค้า เป็นต้น
ลักษณะของโครงการ แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. โครงการอิสระ ( Independent Project ) เป็นโครงการที่นำมาเปรียบเทียบกันโดยมีคุณลักษณะต่างกัน เพราะฉะนั้นจะเลือกลงทุนเพียงโครงการเดียว หรือหลายโครงการก็ได้ หรือไม่เลือกโครงการใดเลยก็ได้
2. โครงการที่มีผละประโยชน์ร่วมกัน ( Mutually exclusive Project ) เป็นโครงการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือเหมือนกัน ถ้าเลือกโครงการหนึ่งแล้วก็จะไม่เลือกอีกโครงการหนึ่ง หรืออาจจะไม่เลือกทั้งสองโครงการก็ได้ แต่จะเลือกทั้งสองโครงการไม่ได้
ขั้นตอนในการจัดทำงบลงทุน มีดังนี้
1. กำหนดต้นทุนของโครงการในการลงทุน ว่าควรจะใช้จำนวนเงินในการลงทุนทั้งหมดเท่าใด
2. จัดทำประมาณการไหลเวียนของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิตลอดอายุโครงการ
3. คำนึงถึงค่าความเสี่ยงของโครงการ โดยผู้บริหารต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับความถี่
และความเป็นไปได้ของกระแสเงินสด เพื่อใช้ในการตัดสินใจในโครงการ
4. กำหนดความเสี่ยงของงบประมาณกระแสเงินสด ผู้บริหารต้องประมาณต้นทุนของงบลงทุนที่เป็นไปได้
5. กระแสเงินสดที่คาดหมายไว้จะต้องได้ค่าเป็นมูลค่าปัจจุบัน
6. มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับ จะต้องสามารถเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ต้องการหรือต้นทุนของโครงการได้
เครื่องมือในการตัดสินใจเลือกโครงการลงทุน
1. ระยะเวลาในการคืนทุน ( Payback Period : PB )
2. อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( Average Rate of Return : ARR )
3. อัตราผลตอบแทนคิดลด ( Internal Rate of Return : IRR )
4. มูลค่าปัจจุบันสุทธิ ( Net Present Value : NPV )
5. ดัชนีการทำกำไร ( Profitability Index : PI )
1. ระยะเวลาในการคืนทุน
( Payback Period : PB ) หมายถึง ระยะเวลาของกระแสเงินสดรับที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตเท่ากับเงินลงทุนเริ่มแรกของโครงการพอดี
ซึ่งมีเกณฑ์การตัดสินใจคือ
- ระยะเวลาในการคืนทุนที่คำนวณได้น้อยกว่าระยะเวลาในการคืนทุนที่ต้องการ ยอมรับโครงการ
- ระยะเวลาในการคืนทุนที่คำนวณได้มากกว่าระยะเวลาในการคืนทุนที่ต้องการ ปฏิเสธโครงการ
1.1 กรณีกระแสเงินสดรับสุทธิในแต่ละปีมีมูลค่าเท่ากัน
ระยะเวลาในการคืนทุน (PB) | = เงินลงทุนเริ่มแรก / กระแสเงินสดสุทธิที่คาดว่าจะได้รับต่อปี |
ตัวอย่าง บริษัท นันทาทิพย์ จำกัด กำลังตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานน้ำผลไม้กระป๋องจำนวน 600,000 บาทและคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิในแต่ละปีเท่ากับ 150,000 บาท ซึ่งสามารถคำนวณระยะเวลาในการคืนทุน ได้ดังนี้
ระยะเวลาในการคืนทุน (PB) | = 600,000 / 150,000 |
= 4 ปี |
1.2 กรณีกระแสเงินสดรับสุทธิในแต่ละปีมีมูลค่าไม่เท่ากัน
การคำนวณหาระยะเวลาในการคืนทุนจะพิจารณาจากกระแสเงินสดรับสุทธิในแต่ละปีรวมกันเป็นกระแสเงินสดรับสุทธิสะสม
เท่ากับ จำนวนเงินลงทุนเริ่มแรก
ตัวอย่าง บริษัท ลิเวอร์พูล จำกัด มีโครงการลงทุน 2 โครงการ คือ โครงการซื้อนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียง และโครงการสร้างนักฟุตบอลเอง สมมติว่าโครงการทั้งสองมีความเสี่ยงเท่ากัน เงินลงทุนเริ่มแรกทั้งสองโครงการเท่ากับ 1,000 ล้านบาท มีกระแสเงินสดรับสุทธิ ดังนี้
กระแสเงินสดสุทธิ
|
||
ปี ( t )
|
โครงการซื้อ
|
โครงการสร้าง
|
0
|
( 1,000 )
|
(1,000 )
|
1
|
500
|
100
|
2
|
400
|
300
|
3
|
300
|
400
|
4
|
100
|
600
|
วิธีทำ กรณีโครงการซื้อ | กระแสเงินสดรับ 2 ปีแรก | = 500 + 400 = 900 ( ขาดอีก 100 ) |
ในปีที่ 3 มีกระแสเงินสดรับ 300 ถ้าต้องการ 100 ใช้เวลา = 100/300= 0.33 ปี | ||
ดังนั้น ระยะเวลาในการคืนทุน = 2.33 ปี หรือ 2 ปี 4 เดือน |
วิธีทำ กรณีโครงการสร้าง | กระแสเงินสดรับ 3 ปีแรก | = 100 + 300 + 400 = 800 ( ขาดอีก 200 ) |
ในปีที่ 4 มีกระแสเงินสดรับ 600 ถ้าต้องการ 200 ใช้เวลา = 200 / 600 = 0.33 ปี | ||
ดังนั้น ระยะเวลาในการคืนทุน = 3.33 ปีหรือ 3 ปี 4 เดือน |
จากการคำนวณทั้ง 2 โครงการแล้ว เราสามารถสรุปได้ว่า โครงการซื้อนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงมีงวดเวลาได้ทุนคืนเร็วกว่าโครงการสร้างนักฟุตบอล
ข้อดีของระยะเวลาคืนทุน | ข้อเสียของระยะเวลาคืนทุน | |
- สามารถคำนวณได้ง่าย รวดเร็ว | - ไม่คำนึงถึงรายได้หลังจากคืนทุนแล้ว | |
- ไม่คำนึงถึงมูลค่าของเงินปัจจุบันที่จะได้รับ |
2. อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( Average Rate of Return : ARR ) เป็นอัตราส่วนระหว่างกำไรสุทธิหลังหักภาษีถัวเฉลี่ยกับเงินลงทุนสุทธิของโครงการถัวเฉลี่ย หรือมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ถัวเฉลี่ย ซึ่งจะสามารถคำนวณได้ดังนี้
อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( ARR ) | = กำไรสุทธิหลังหักภาษีถัวเฉลี่ย / เงินลงทุนสุทธิถัวเฉลี่ย | % |
อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( ARR ) | = กำไรสุทธิหลังหักภาษีถัวเฉลี่ย / มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ถัวเฉลี่ย | |
มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ถัวเฉลี่ย | = ( ราคาตามบัญชีของสินทรัพย์ - มูลค่าซาก ) / 2 |
เกณฑ์การตัดสินใจ
- อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( ARR )ที่คำนวณได้ มากกว่า หรือ เท่ากับ อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ
จะยอมรับโครงการ
- อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( ARR )ที่คำนวณได้ น้อยกว่า อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ
จะปฏิเสธโครงการ
ข้อดีและข้อเสียของวิธีอัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( ARR )
ข้อดี คือ สามารถคำนวณได้ง่ายและรวดเร็ว
ข้อเสีย คือ ไม่คำนึงถึงมูลค่าปัจจุบันของเงินในอนาคต
ตัวอย่าง โครงการจ่ายเงินลงทุนซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าราคา 400,000 บาท โดยเครื่องนี้มีอายุการใช้งาน 5 ปี มูลค่าซากเมื่อสิ้นปีที่ 5 เท่ากับ 20,000 บาท เครื่องดังกล่าวทำให้กิจการมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีในแต่ละปี ดังนี้
ปีที่
|
กำไรสุทธิ
|
1
|
24,000
|
2
|
44,000
|
3
|
104,000
|
4
|
124,000
|
5
|
144,000
|
รวม
|
440,000
|
อัตราผลตอบแทนที่กิจการต้องการเท่ากับ 40 % จงพิจารณาโครงการดังกล่าว
วิธีทำ | ARR | = กำไรสุทธิหลังหักภาษีถัวเฉลี่ย / มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ถัวเฉลี่ย |
= [ 440,000 / 5 ] / [( 400,000 - 20,000) / 2 ] | ||
= 88,000 / 190,000 | ||
= 0.4632 = 46.32 % |
จากตัวอย่างนี้ เราสามารถสรุปได้ว่า อัตราผลตอบแทนที่คำนวณได้( 46.32%) สูงกว่าอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ( 40% )จึงยอมรับโครงการ
3. อัตราผลตอบแทนคิดลด ( Internal Rate of Return : IRR ) หมายถึง การคำนวณหาอัตราคิดลด ที่มีผลทำให้มูลค่าปัจจุบันของเงินสดที่ได้รับในอนาคต เท่ากับเงินลงทุนที่จ่ายในปัจจุบัน นั่นคือ มูลค่าปัจจุบันของเงินสดรับเท่ากับมูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่าย
มีสูตรในการคำนวณดังนี้ มูลค่าปัจจุบันของเงินสดรับ = มูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่าย
ดังนั้น | มูลค่าปัจจุบันของเงินสดรับ - มูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่าย = 0 |
4. มูลค่าปัจจุบันสุทธิ ( Net Present Value : NPV ) หมายถึงผลต่างระหว่างมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิตลอดอายุของโครงการกับเงินลงทุนเริ่มแรก ณ อัตราผลตอบแทนที่ต้องการหรือต้นทุนของเงินทุนของโครงการ
มูลค่าปัจจุบัน ( NPV ) | = มูลค่าปัจจุบันเงินสดรับ - มูลค่าปัจจุบันเงินสดจ่าย |
เกณฑ์การตัดสินใจ
- มูลค่าปัจจุบัน ( NPV ) มีค่าเป็น บวก จะยอมรับโครงการ
- มูลค่าปัจจุบัน ( NPV ) มีค่าเป็น ลบ จะปฏิเสธรับโครงการ
ตัวอย่าง บริษัท บางกอกน้อย จำกัด
พิจารณาโครงการจ่ายลงทุนมีมูลค่าโครงการเท่ากับ 10 ล้านบาท โดยโครงการนี้ให้ผลตอบแทนเท่ากันทุกปีๆ
ละ 3 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี อัตราผลตอบแทนที่ต้องการเท่ากับ 12% ให้ตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่
วิธีทำ
1. หามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับ | = PMT x PVIFA (n=5 , i = 12 ) |
= 3,000,000 x 3.6048 | |
= 10,814,400 | |
2. นำมูลค่าในข้อ 1 ลบด้วยเงินลงทุนเริ่มแรก | = 10,814,400 - 10,000,000 |
= 814,400 | |
3.ตัดสินใจ | ค่าเป็นบวก ยอมรับโครงการ |
5. ดัชนีการทำกำไร ( Profitability Index
: PI ) เป็นอัตราส่วนระหว่างมูลค่าปัจจุบันของเงินสดรับกับมูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่ายในโครงการลงทุนนั้น
ๆ
สูตร ดัชนีการทำกำไร = มูลค่าปัจจุบันของเงินสดรับ / มูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่าย
เกณฑ์การตัดสินใจ
- กรณีดัชนีการทำกำไร มีค่ามากกว่า หรือ เท่ากับ 1 จะยอมรับโครงการ
- กรณีดัชนีการทำกำไร มีค่าน้อยกว่า 1 จะปฏิเสธโครงการ
ตัวอย่าง บริษัท บางกอกน้อย จำกัด พิจารณาโครงการจ่ายลงทุนมีมูลค่าโครงการเท่ากับ 10 ล้านบาท โดยโครงการนี้ให้ผลตอบแทนเท่ากันทุกปีๆ ละ 3 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี อัตราผลตอบแทนที่ต้องการเท่ากับ 12% ให้ตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่
วิธีทำ | 1. หามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับ | = PMT x PVIFA (n=5 , i = 12 ) |
= 3,000,000 x 3.6048 | ||
= 10,814,400 | ||
2. มูลค่าใน ข้อ 1 หารด้วย เงินสดจ่ายลงทุน | = 10,814,400 / 10,000,000 | |
= 1.08144 | ||
3. ตัดสินใจ มากกว่า หรือ เท่ากับ 1 จะยอมรับโครงการ |