บทที่ 7

งบลงทุน ( Capital Budget )

งบลงทุน เป็นกระบวนการในการวางแผนและการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในโครงการต่างๆ ของธุรกิจ เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับเงินลงทุนในธุรกิจที่ได้ลงทุนในปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นผลสำเร็จในอนาคต หรือเป็นกระบวนการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจ เพื่อประเมินความสัมพันธ์ ระหว่างรายจ่ายและผลประโยชน์ที่จะได้รับ จากการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการจัดสรรทรัพยากรสำหรับลงทุนในระยะยาว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า งบลงทุนเป็นการวางแผนในระยะยาวของธุรกิจ และมีลักษณะแตกต่างจากงบประมาณโดยทั่วไปของธุรกิจ

ความสำคัญของงบลงทุน มีดังนี้

1. เป็นการวางแผนการใช้จ่ายในการซื้อสินทรัพย์ถาวรของธุรกิจ
2. เป็นกระบวนการวิเคราะห์โครงการ และการตัดสินใจว่าสินทรัพย์ถาวรนั้นจะรวมอยู่ในงบลงทุนหรือไม่
3. เป็นวิธีการหรือกระบวนการวิเคราะห์โครงการ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจ

นอกจากนี้ ความสำคัญของงบลงทุนยังประกอบไปด้วยปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การตระหนักถึงผลกระทบจาการตัดสินใจในงบลงทุน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน บางครั้งอาจมากกว่า 10 ปี เป็นเหตุให้ผู้ที่ตัดสินใจขาดความคล่องตัวด้านการเงิน ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจซื้อสินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานทางเศรษฐกิจ 10 ปี เพื่อขยายการลงทุนในสินทรัพย์ถือเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์กับการพยากรณ์ยอดขาย เพราะหากธุรกิจตัดสินใจซื้อสินทรัพย์ถาวรซึ่งคาดว่าจะมีความคงทนถึง 10 ปี นั้นก็หมายความว่า จะต้องพยากรณ์ยอดขายถึง 10 ปี เช่นกัน ดังนั้นการพยากรณ์ถึงความต้องการของสินทรัพย์อาจส่งผลเสียค่อนข้างร้ายแรงต่อธุรกิจได้ ถ้าการพยากรณ์ผิดพลาด เพราะฉะนั้น การวางแผนงบลงทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็น ควรมีการวางแผนการเงินล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการลงทุนตามแผน
การบริหารงบลงทุนที่มีประสิทธิภาพจึงต้องมีการปรับปรุง ทั้งในเรื่องของเวลาและคุณภาพของสินทรัพย์ กิจการที่ประสบความสำเร็จในการพยากรณ์ถึงความต้องการด้านสินทรัพย์ประเภททุนไว้ล่วงหน้า ก็จะสามารถจัดซื้อและติดตั้งสินทรัพย์ก่อนที่จะมีการดำเนินด้านการขายได้อย่างเต็มกำลัง

ประเภทของโครงการลงทุน

1. โครงการทดแทน : การซ่อมบำรุงรักษา ( Replacement : maintenance of business ) เป็นโครงการที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการซื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อซ่อมแซม หรือทดแทนเครื่องมือ เครื่องจักรที่ชำรุดเสียหาย เพื่อจะได้นำมาใช้ใหม่ในการผลิตสินค้าต่อไป โครงการที่ต้องจัดหาสิ่งต่าง ๆ มาแทนที่นี้เป็นโครงการที่จำเป็นถ้าบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจต่อไป

2. โครงการทดแทน : การลดต้นทุน ( Replacement : cost reduction ) เป็นโครงการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการบริหารเพื่อลดต้นทุนด้านแรงงาน วัสดุ และปัจจัยนำเข้าอื่นๆ เช่น กระแสไฟฟ้า หรือ การใช้แก๊สแทนน้ำมันเบนซินของรถรับจ้างโดยสาร

3. โครงการขยายตลาดเดิมหรือผลิตภัณฑ์เดิม ( Expansion of existing produsts or markets ) เป็นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มผลผลิต หรือขยายร้านค้าปลีก หรืออำนวยความสะดวกในตลาด การตัดสินใจเหล่านี้จะมีความซับซ้อน เพราะจะต้องพยากรณ์เกี่ยวกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นด้วย

4. โครงการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่หรือตลาดใหม่ ( Expansion into new products or markets ) เป็นโครงการลงทุนเพื่อผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือขยายขอบเขตการค้าตามเขตภูมิศาสตร์ออกไป โครงการเหล่านี้จะต้องอาศัยการตัดสินใจด้านกลยุทธ์ เพราะมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และการจ่ายคืนช้า ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์รายละเอียด และการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะทำโดยผู้บริหารระดับสูง และจัดทำเป็นแผนกลยุทธ์ของบริษัท

5. โครงการเพื่อความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ( Safety and / or environmental projects ) เป็นโครงการที่จะต้องใช้จ่ายที่จำเป็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาล เช่น ด้านแรงงาน นโยบายการประกันการดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ จะขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการที่ต้องปฏิบัติตาม

6. โครงการอื่นๆ ( Other ) เป็นโครงการที่แตกต่างจากโครงการที่1-5 เช่น โครงการสร้างสำนักงานใหม่ โครงการสร้างคลังเก็บสินค้า เป็นต้น

ลักษณะของโครงการ แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. โครงการอิสระ ( Independent Project ) เป็นโครงการที่นำมาเปรียบเทียบกันโดยมีคุณลักษณะต่างกัน เพราะฉะนั้นจะเลือกลงทุนเพียงโครงการเดียว หรือหลายโครงการก็ได้ หรือไม่เลือกโครงการใดเลยก็ได้

2. โครงการที่มีผละประโยชน์ร่วมกัน ( Mutually exclusive Project ) เป็นโครงการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือเหมือนกัน ถ้าเลือกโครงการหนึ่งแล้วก็จะไม่เลือกอีกโครงการหนึ่ง หรืออาจจะไม่เลือกทั้งสองโครงการก็ได้ แต่จะเลือกทั้งสองโครงการไม่ได้

ขั้นตอนในการจัดทำงบลงทุน มีดังนี้

1. กำหนดต้นทุนของโครงการในการลงทุน ว่าควรจะใช้จำนวนเงินในการลงทุนทั้งหมดเท่าใด
2. จัดทำประมาณการไหลเวียนของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิตลอดอายุโครงการ
3. คำนึงถึงค่าความเสี่ยงของโครงการ โดยผู้บริหารต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับความถี่ และความเป็นไปได้ของกระแสเงินสด เพื่อใช้ในการตัดสินใจในโครงการ
4. กำหนดความเสี่ยงของงบประมาณกระแสเงินสด ผู้บริหารต้องประมาณต้นทุนของงบลงทุนที่เป็นไปได้
5. กระแสเงินสดที่คาดหมายไว้จะต้องได้ค่าเป็นมูลค่าปัจจุบัน
6. มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับ จะต้องสามารถเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ต้องการหรือต้นทุนของโครงการได้

เครื่องมือในการตัดสินใจเลือกโครงการลงทุน

1. ระยะเวลาในการคืนทุน ( Payback Period : PB )
2. อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( Average Rate of Return : ARR )
3. อัตราผลตอบแทนคิดลด ( Internal Rate of Return : IRR )
4. มูลค่าปัจจุบันสุทธิ ( Net Present Value : NPV )
5. ดัชนีการทำกำไร ( Profitability Index : PI )

1. ระยะเวลาในการคืนทุน ( Payback Period : PB ) หมายถึง ระยะเวลาของกระแสเงินสดรับที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตเท่ากับเงินลงทุนเริ่มแรกของโครงการพอดี ซึ่งมีเกณฑ์การตัดสินใจคือ
- ระยะเวลาในการคืนทุนที่คำนวณได้น้อยกว่าระยะเวลาในการคืนทุนที่ต้องการ ยอมรับโครงการ
- ระยะเวลาในการคืนทุนที่คำนวณได้มากกว่าระยะเวลาในการคืนทุนที่ต้องการ ปฏิเสธโครงการ

1.1 กรณีกระแสเงินสดรับสุทธิในแต่ละปีมีมูลค่าเท่ากัน

ระยะเวลาในการคืนทุน (PB) = เงินลงทุนเริ่มแรก / กระแสเงินสดสุทธิที่คาดว่าจะได้รับต่อปี

ตัวอย่าง บริษัท นันทาทิพย์ จำกัด กำลังตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานน้ำผลไม้กระป๋องจำนวน 600,000 บาทและคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิในแต่ละปีเท่ากับ 150,000 บาท ซึ่งสามารถคำนวณระยะเวลาในการคืนทุน ได้ดังนี้

ระยะเวลาในการคืนทุน (PB) = 600,000 / 150,000
  = 4 ปี

1.2 กรณีกระแสเงินสดรับสุทธิในแต่ละปีมีมูลค่าไม่เท่ากัน
การคำนวณหาระยะเวลาในการคืนทุนจะพิจารณาจากกระแสเงินสดรับสุทธิในแต่ละปีรวมกันเป็นกระแสเงินสดรับสุทธิสะสม เท่ากับ จำนวนเงินลงทุนเริ่มแรก

ตัวอย่าง บริษัท ลิเวอร์พูล จำกัด มีโครงการลงทุน 2 โครงการ คือ โครงการซื้อนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียง และโครงการสร้างนักฟุตบอลเอง สมมติว่าโครงการทั้งสองมีความเสี่ยงเท่ากัน เงินลงทุนเริ่มแรกทั้งสองโครงการเท่ากับ 1,000 ล้านบาท มีกระแสเงินสดรับสุทธิ ดังนี้

 
กระแสเงินสดสุทธิ
ปี ( t )
โครงการซื้อ
โครงการสร้าง
0
( 1,000 )
(1,000 )
1
500
100
2
400
300
3
300
400
4
100
600
วิธีทำ กรณีโครงการซื้อ กระแสเงินสดรับ 2 ปีแรก = 500 + 400 = 900 ( ขาดอีก 100 )
  ในปีที่ 3 มีกระแสเงินสดรับ 300 ถ้าต้องการ 100 ใช้เวลา = 100/300= 0.33 ปี
  ดังนั้น ระยะเวลาในการคืนทุน = 2.33 ปี หรือ 2 ปี 4 เดือน

วิธีทำ กรณีโครงการสร้าง กระแสเงินสดรับ 3 ปีแรก = 100 + 300 + 400 = 800 ( ขาดอีก 200 )
  ในปีที่ 4 มีกระแสเงินสดรับ 600 ถ้าต้องการ 200 ใช้เวลา = 200 / 600 = 0.33 ปี
  ดังนั้น ระยะเวลาในการคืนทุน = 3.33 ปีหรือ 3 ปี 4 เดือน

จากการคำนวณทั้ง 2 โครงการแล้ว เราสามารถสรุปได้ว่า โครงการซื้อนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงมีงวดเวลาได้ทุนคืนเร็วกว่าโครงการสร้างนักฟุตบอล

ข้อดีของระยะเวลาคืนทุน   ข้อเสียของระยะเวลาคืนทุน
- สามารถคำนวณได้ง่าย รวดเร็ว   - ไม่คำนึงถึงรายได้หลังจากคืนทุนแล้ว
    - ไม่คำนึงถึงมูลค่าของเงินปัจจุบันที่จะได้รับ

2. อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( Average Rate of Return : ARR ) เป็นอัตราส่วนระหว่างกำไรสุทธิหลังหักภาษีถัวเฉลี่ยกับเงินลงทุนสุทธิของโครงการถัวเฉลี่ย หรือมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ถัวเฉลี่ย ซึ่งจะสามารถคำนวณได้ดังนี้

อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( ARR ) = กำไรสุทธิหลังหักภาษีถัวเฉลี่ย / เงินลงทุนสุทธิถัวเฉลี่ย %
อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( ARR ) = กำไรสุทธิหลังหักภาษีถัวเฉลี่ย / มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ถัวเฉลี่ย
มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ถัวเฉลี่ย = ( ราคาตามบัญชีของสินทรัพย์ - มูลค่าซาก ) / 2

เกณฑ์การตัดสินใจ
- อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( ARR )ที่คำนวณได้ มากกว่า หรือ เท่ากับ อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ จะยอมรับโครงการ
- อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( ARR )ที่คำนวณได้ น้อยกว่า อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ จะปฏิเสธโครงการ

ข้อดีและข้อเสียของวิธีอัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย ( ARR )
ข้อดี คือ สามารถคำนวณได้ง่ายและรวดเร็ว
ข้อเสีย คือ ไม่คำนึงถึงมูลค่าปัจจุบันของเงินในอนาคต

ตัวอย่าง โครงการจ่ายเงินลงทุนซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าราคา 400,000 บาท โดยเครื่องนี้มีอายุการใช้งาน 5 ปี มูลค่าซากเมื่อสิ้นปีที่ 5 เท่ากับ 20,000 บาท เครื่องดังกล่าวทำให้กิจการมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีในแต่ละปี ดังนี้

ปีที่
กำไรสุทธิ
1
24,000
2
44,000
3
104,000
4
124,000
5
144,000
รวม
440,000

อัตราผลตอบแทนที่กิจการต้องการเท่ากับ 40 % จงพิจารณาโครงการดังกล่าว

วิธีทำ ARR = กำไรสุทธิหลังหักภาษีถัวเฉลี่ย / มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ถัวเฉลี่ย
    = [ 440,000 / 5 ] / [( 400,000 - 20,000) / 2 ]
    = 88,000 / 190,000
    = 0.4632 = 46.32 %

จากตัวอย่างนี้ เราสามารถสรุปได้ว่า อัตราผลตอบแทนที่คำนวณได้( 46.32%) สูงกว่าอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ( 40% )จึงยอมรับโครงการ

3. อัตราผลตอบแทนคิดลด ( Internal Rate of Return : IRR ) หมายถึง การคำนวณหาอัตราคิดลด ที่มีผลทำให้มูลค่าปัจจุบันของเงินสดที่ได้รับในอนาคต เท่ากับเงินลงทุนที่จ่ายในปัจจุบัน นั่นคือ มูลค่าปัจจุบันของเงินสดรับเท่ากับมูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่าย

มีสูตรในการคำนวณดังนี้ มูลค่าปัจจุบันของเงินสดรับ = มูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่าย

ดังนั้น มูลค่าปัจจุบันของเงินสดรับ - มูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่าย = 0
   
   
   
   
   

4. มูลค่าปัจจุบันสุทธิ ( Net Present Value : NPV ) หมายถึงผลต่างระหว่างมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิตลอดอายุของโครงการกับเงินลงทุนเริ่มแรก ณ อัตราผลตอบแทนที่ต้องการหรือต้นทุนของเงินทุนของโครงการ

มูลค่าปัจจุบัน ( NPV ) = มูลค่าปัจจุบันเงินสดรับ - มูลค่าปัจจุบันเงินสดจ่าย

เกณฑ์การตัดสินใจ
- มูลค่าปัจจุบัน ( NPV ) มีค่าเป็น บวก จะยอมรับโครงการ
- มูลค่าปัจจุบัน ( NPV ) มีค่าเป็น ลบ จะปฏิเสธรับโครงการ

ตัวอย่าง บริษัท บางกอกน้อย จำกัด พิจารณาโครงการจ่ายลงทุนมีมูลค่าโครงการเท่ากับ 10 ล้านบาท โดยโครงการนี้ให้ผลตอบแทนเท่ากันทุกปีๆ ละ 3 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี อัตราผลตอบแทนที่ต้องการเท่ากับ 12% ให้ตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่
วิธีทำ

1. หามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับ = PMT x PVIFA (n=5 , i = 12 )
  = 3,000,000 x 3.6048
  = 10,814,400
2. นำมูลค่าในข้อ 1 ลบด้วยเงินลงทุนเริ่มแรก = 10,814,400 - 10,000,000
  = 814,400
3.ตัดสินใจ ค่าเป็นบวก ยอมรับโครงการ

5. ดัชนีการทำกำไร ( Profitability Index : PI ) เป็นอัตราส่วนระหว่างมูลค่าปัจจุบันของเงินสดรับกับมูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่ายในโครงการลงทุนนั้น ๆ
สูตร ดัชนีการทำกำไร = มูลค่าปัจจุบันของเงินสดรับ / มูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่าย

เกณฑ์การตัดสินใจ
- กรณีดัชนีการทำกำไร มีค่ามากกว่า หรือ เท่ากับ 1 จะยอมรับโครงการ
- กรณีดัชนีการทำกำไร มีค่าน้อยกว่า 1 จะปฏิเสธโครงการ

ตัวอย่าง บริษัท บางกอกน้อย จำกัด พิจารณาโครงการจ่ายลงทุนมีมูลค่าโครงการเท่ากับ 10 ล้านบาท โดยโครงการนี้ให้ผลตอบแทนเท่ากันทุกปีๆ ละ 3 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี อัตราผลตอบแทนที่ต้องการเท่ากับ 12% ให้ตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่

วิธีทำ 1. หามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับ = PMT x PVIFA (n=5 , i = 12 )
    = 3,000,000 x 3.6048
    = 10,814,400
  2. มูลค่าใน ข้อ 1 หารด้วย เงินสดจ่ายลงทุน = 10,814,400 / 10,000,000
    = 1.08144
  3. ตัดสินใจ มากกว่า หรือ เท่ากับ 1 จะยอมรับโครงการ

Go Top