ศรีทะนนไชย
ศรีทะนนไชยสำนวนกาพย์ สำนวนเก่าที่สุดที่ค้นพบ
พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑

เสภาเรื่องศรีทะนนไชยเซียงเหมี้ยง
สำนวนแต่งในสมัยรัชกาลที่ ๔



		ศรีทะนนไชยสำนวนกาพย์  มีศรีทะนนไชย ที่นิยมเล่ากันมาอีกแนว
	หนึ่ง ซึ่งต่างกับศรีทะนนไชยเซียงเหมี้ยง ในท้องเรื่องอีกเรื่องนั้น ศรีทะนนไชยเป็นชาว
	ศรีอยุธยา เป็นฉบับศรีทะนนไชยสำนวนกาพย์ ในฉบับนี้ศรีทะนนไชยถูกทำให้กลายเป็น
	บุคคลพิเศษ เพราะเขาไม่ใช่ลูกชาวนาอย่างเซียงเหมี้ยงแต่เขาเป็นลูกขุนนาง ผู้ซึ่งต้อง
	การจะมีลูกเหลือเกิน และเทวดาก็ได้มาถือกำเนิดเป็นตัวเขา ถึงตอนนี้ ศรีทะนนไชยก็
	กลายเป็นพระเอก ตามแบบวรรณคดีราชสำนักไป ชีวิตของศรีทะนนไชยระหกระเหินมา
	ก่อนที่จะได้เข้าวัง  เริ่มตั้งแต่ศรีทะนนไชย ผ่าท้องน้องของตนเองเพื่อชำระล้างให้สะอาด
	ตามคำสั่งของมารดา เมื่อถูกขับจากเรือนไปอยู่กับยายแก่ขายขนม ก็เอาขนมนั้นเททิ้งน้ำ
	หมดตามคำสั่งของยายที่ให้ขายเป็นเทน้ำเทท่า เรื่อยไปจนได้ไปรับใช้หลวงนายและหลวง
	นายทนความกะล่อนของศรีทะนนไชยไม่ไหวจึงนำตัวศรีทะนนไชยถวายพระเจ้าเจษฎา 
	ถึงตรงนี้พญาซึ่งมีฐานะเป็นเพียงเจ้าหลวงของเซียงเหมี้ยง กลายเป็น "พระเจ้าแผ่น
	ดิน" ไปแล้ว
	
		ศรีทะนนไชยฉบับศรีอยุธยา นั้นมีบทบาทตัวโกงรุนแรงกว่าเซียงเหมี้ยง
	หลายเท่าในขณะที่ศรีทะนนไชย เซียงเหมี้ยง ยังเล่นตลกอยู่ในกรอบประเพณีและชุมชน 
	ศรีทะนนไชยฉบับศรีอยุธยาใชัปัญญาเกะกะระราน เอารัดเอาเปรียบไปจนถึงขูดรีด เพื่อ
	ประโยชน์แก่ฐานะและความสำเร็จของตนเองและกระทำเอาแก่ทุกคนที่ขวางหน้า ไม่ใช่แก่
	กษัตริย์และพระสงฆ์ ซึ่งชุมชนก็ถือว่าเป็นว่าส่วนนอกที่เข้ามาทีหลังชุมชนสถาปนาแล้ว

		บทศรีทะนนไชยฆ่าน้อง "แขวนคอควาย" "บีบลูกอัณฑะของนาย" "เอาสาร
	หนูให้ยายกิน" "ไล่ตีแมวรุกไปในที่ดินของชาวบ้านเพื่อเอาที่เท่าแมวดิ้นตาย" หลอกพนัน
	เพื่อจะได้ทรัพย์สินเงินทองของบรรดาข้าหลวง เหล่านี้ ทำให้ศรีทะนนไชยมีบุคลิกใกล้เข้า
	ไปสู่เป็นการแสดงออกถึงความเป็นคนชั่วมากขึ้นทุกที และเป็นการสะท้อนให้เห็นบริบท
	ของสังคมที่ศรีทะนนไชยอาศัยอยู่ ว่ามีเขตแดนกว้างขวางมีชนชั้นอยู่หลากหลาย เป็น
	สังคมใหญ่ซึ่งผู้คนเริ่มจะหันไปใช้ไหวพริบ ฉลาดแกมโกงไปเพื่อการเอาเปรียบ ทำร้าย 
	และเอาประโยชน์ จากกันและกันเสียแล้ว จึงเห็นได้ว่าไหวพริบและความฉลาดแกมโกงนี้ 
	เมื่อพ้นจากขีดความพอดี แล้วมันจะก้าวไปสู่อะไร  

		มีประเด็นที่น่าสนใจมากทีเดียวว่า เกือบครึ่งหนึ่งของศรีทะนนไชยฉบับศรี
	อยุธยานี้เป็นเรื่องราวที่ศรีทะนนไชยใช้ปัญญาต่อสู้ประลองกับชนชาติอื่น  ที่มาเกี่ยวข้อง
	กับศรีอยุธยา ด้วยเหตุต่างๆ เช่น กรณีแข่งขันนกพูดได้ กรณีลังกาขอท้าอยุธยาตอบ
	ปัญหาธรรม  กรณีแข่งขันผ้าวิเศษกับชาวฝรั่งเศส กรณีมวยปล้ำ  กรณีแข่งกันสร้างเจดีย์ 
	กรณีแข่งดำน้ำในนานที่สุดรวมไปจนถึงตอนศรีทะนนไชย ไปค้าสำเภาถึงเมืองจีน จนได้
	หลอกดูพระพักตร์ของพระเจ้าหน้าหมาเป็นผลสำเร็จ เป็นต้น  

		จะเห็นได้ว่าในทุกๆ กรณีการแข่งขันศรีทะนนไชยเป็นฝ่ายชนะโดยง่าย โดย
	อาศัยเล่ห์เพทุบาย กล่าวในแง่นี้ ศรีทะนนไชยได้ขยายบทบาทจากการล้อเลียนต่อสถาบัน
	กษัตริย์ และสถาบันสงฆ์ไปเป็นการรักษาชาติบ้านเมืองเอาไว้จากการเสียทีและเสียหน้าแก่
	ชนชาติอื่น นิทานที่แต่งขึ้นในแนวนี้ตอบสนองต่อความรู้สึกของชนชาติเป็นอย่างดี ใน
	สภาพที่ศรีอยุธยามีความสัมพันธ์กับหลายชนชาติในสมัยนั้น ถ้าคนไทยสมัยศรีอยุธยาจะ
	มีความรู้สึกเปรียบเทียบระหว่างอารยธรรมของชาติตนว่ามีอะไรต่ำต้อยกว่าชาติอื่น  ศรี
	ทะนนไชยก็ได้ช่วย "กู้หน้าไว้" ด้วยการใช้ไหวพริบแกมโกงว่าศรีอยุธยาเหนือกว่า  ทั้งๆ ที่
	พระเจ้าเจษฎาเองทรงวิตกกำสรวลทุกครั้งว่ากรุงศรีอยุธยาจะไปสู้กับชาติอื่นได้อย่างไร  
	ในเรื่องซึ่งศรีอยุธยาไม่ได้เคยสะสมความรู้มาก่อน
	
		สิ่งอันพึงพิจารณามีอยู่ว่า พื้นฐานวิธีคิดแบบศรีทะนนไชยที่คนไทยนิยมชม
	ชอบนี้ได้สะท้อนให้เห็นด้วยหรือเปล่าว่าคนไทยพอใจที่จะได้ชัยชนะ ทั้งๆ ที่ไม่อยู่ในฐานะ
	ที่จะสู้เขาได้ชัยชนะแบบนี้จะมีอยู่ชั่วระยะหนึ่งของการแข่งขันดำเนินอยู่ แต่เมื่อการแข่ง
	ขันจบลงแล้ว นกที่พูดได้เจื้อยแจ้ว ผ้าวิเศษที่มีควันลอยออกมา นักมวยปล้ำชั้นเลิศ นัก
	ดำน้ำที่อยู่ใต้น้ำได้เป็นเวลานาน หรือนักสร้างเจดีย์ ตัวจริงนั้น ก็ล้วนแต่เป็นของชาติอื่น
	หาใช่ของชาติไทยเราไม่ เราอาจพอใจที่หลอกเขาได้หรือ มีเหลี่ยมเหนือเขา แต่เราปฎิเสธ
	ไม่ได้ว่าคนที่เป็นผู้รู้หรือเก่งจริง คือ เขา ซึ่งเป็นชนชาติอื่นไม่ใช่เรา นี่คือเรื่องในนิทานที่
	จะสะท้อนหรือทวงถามความจริงต่อคนไทยยุคปัจจุบัน


กลับไปหน้าแรก