เหมืองแร่ ฉบับสมบูรณ์
พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๙๗ - ๒๕๒๖

อาจินต์ ปัญจพรรค์
(พ.ศ.๒๔๗๐ - )



		เหมืองแร่ ฉบับสมบูรณ์ เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องสั้นชุด เหมืองแร่
	ของอาจินต์ ปัญจพรรค์ ไว้อย่างครบถ้วนมากที่สุด  ซึ่งเป็นเรื่องที่สะท้อนชีวิตของผู้เขียน 
	สมัยที่ผู้เขียนไปทำเหมืองแร่

	ตัวอย่างเรื่องสั้นในชุด เหมืองแร่ ที่อยู่ในฉบับสมบูรณ์
	เรื่อง ความพยาบาทของตาชื้น 
		ผู้เขียนได้ถ่ายทอดปรัชญาชีวิตและมุมมองวรรณกรรมของตัวผู้เขียนเองว่า
			
		         "แต่ละชีวิต หั่นเข้าเป็นท่อนๆ เลือกหั่นให้เหมาะ เราจะได้เรื่องสั้น
		หลายๆ เรื่อง มีจุดจบงามๆ ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยเรื่องสั้น แต่ชีวิตทั้ง
		ดุ้นที่ไม่ได้ตัดเป็นท่อน มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย นอกจากสิ่งที่ยืนยัน
		บทพิสูจน์ของพระพุทธเจ้าข้อที่ว่า มันมีการเกิด แก่ เจ็บ และก็ตายเท่า
		นั้นเอง"
					(เหมืองแร่ ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๑๔๙)	

	เรื่อง เหล้ากับยา 
		ผู้เขียนเขียนว่า
		
		          "ร้านกาแฟประจำเหมืองของเราคือสโมสร ความลึก ความทึบ และ
		ความเย็นจากพื้นดินเหนียวที่ไม่ถูกแดดเลยนับตั้งแต่มันถูกสร้างขึ้นมา
		เหล่านี้เป็นเสน่ห์ เราพากันไปชุมนุมที่นั่น ไปคุย ไปกินเหล้า ไปนั่งเล่น แม้
		แต่คนขี้เหนียวที่สุดก็ไป  ไปทำเดินเกร่ๆ ข้างโต๊ะ คนกินเหล้าที่สุรุ่ยสุร่าย 
		หวังที่จะถูกเรียกร่วมโต๊ะ แม้ไม่ถูกเรียก ก็จะฉกเอาแก้วที่เขารินเหล้าแล้ว
		แล้วไปกินเสีย ฟรีๆ"

		           "เราพากันมาที่นี่ มันคือห้องประชุม มันคือโรงมหรสพ เก้าอี้ทุกตัว
		ตลอดจนธรณีประตูซึ่งเรานั่งไม่เลือกที่นั้นประดุจมียางเหนียว นั่งแล้วติด
		หนับ ไม่ยอมให้ลุกขึ้นง่ายๆ  มันเป็นวงเหล้า วงโต้วาที วงหมากรุก วงไฮโล
		ถึงเวทีมวยมันก็เคยเป็น เพราะว่าวงต่างๆ ที่ว่ามานั้นกับเวทีมวยมันใกล้กัน
		เหลือเกิน ใกล้กันขนาดระยะทางจากเท้าของคนหนึ่งถึงปากของอีกคนหนึ่ง
		เท่านั้น"

		            "เราเป็นพวกซุนยัดเซ้น คือหัวซุนกันมา มาแล้วก็ยัด ๆๆๆ ยัดแล้ว
		ก็เซ็นเอาไว้ สมุดบัญชีคือข้างฝา ตัวเลขเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ออกลูกออก
		หลานแพร่พันธุ์ได้เร็ว มันเต็มฝากระดานแล้วก็ลามขึ้นไปตามเสา ยิ่งสูงเรา
		ก็ยิ่งแหงนดูมันด้วยความท้อแท้" 
				                 (เหมืองแร่ ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๑๐๓)	

	เรื่อง ฟันนี่ นิวเยียร์ 
		ผู้เขียนได้เติมชีวิตชีวาให้กับร้านกาแฟด้วยการพูดถึง
			
		        "เจ้าของร้านชื่อโกต๋อง เป็นลูกจีนปนไทย อันเป็นเชื้อชาติมาตรฐาน
		ของชุมชนปักษ์ใต้ อายุราว ๔๐ สมองโปร่ง แม้จะไม่มีความสามารถอะไร
		มากเกินไปกว่าไปขนสินค้าจากภูเก็ตมาใส่ร้าน แล้วขายเชื่อแก่คนงานเหมือง
		เขาก็เอาตัวรอดมาได้ จากร้านซึ่งเป็นเพิงปลูกกลางดินเมื่อสามสี่ปีก่อน 
		เดี๋ยวนี้พื้นร้านได้ราดปูนซิเมนต์และขยายฝาออกไป ตู้เย็นขนาดใหญ่เดิน
		เครื่องน้ำมันก๊าดกำลังครางกระหึ่มอยู่ตรงที่ๆ เคยเป็นกองกะปิ ใครๆ ที่
		ผ่านไปมาก็จะรู้ได้ทันทีว่าร้านนี้มั่งคั่งไม่แพ้ร้านในตลาด  และคนที่คิดนาน
		สักหน่อยก็จะสำนึกได้ว่าทุกสตางค์ที่ประกอบกันขึ้น แม้แต่จะเป็นตัวน๊อต
		ที่ยึดตีนตู้เย็นติดกับไม้ฐาน  ก็คือเงินที่ไหลออกจากกระเป๋าอันมอมแมม
		ของเราเข้าสู่บัญชีเงินเชื่อ ซึ่งใช้วิธีบวกเลขระบบยืดหยุ่นตามความเผลอ
		เรอหรือความเกรงใจของผู้ซื้อเชื่อนั่นเอง"
					(เหมืองแร่ ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๑๑๔)

	เรื่อง ยาแดง
		ผู้เขียนได้แทรกมุมมองในแง่การพาณิชย์ ไว้ว่า
		
		         "ถ้าท่านจะไปตั้งร้านขายของในเหมืองแร่ ท่านต้องเตรียมเหล้าไป
		มากๆ เพราะที่นั่นเหล้าจะขายดีกว่าวิตามิน สิ่งต่อไปที่ท่านต้องหามาติด
		ร้านไว้อย่าให้ขาดคือยาดมแก้หวัด ไอ้สิ่งนี้มันขายดีกว่าร่ม เหตุใดพวกเรา
		ชาวเหมืองจึงนิยมเดินตากฝนให้เป็นหวัดเสียก่อน แทนที่จะซื้อร่มป้อง
		กันฝน นี่ก็เป็นเพราะยาดมแก้หวัดนั้นขวดละบาทเดียวใช้ไปได้ตั้งหลาย
		มื้อ ส่วนร่มนั้นราคาตั้ง ๗ บาท ถ้าเป็นร่มตีมาจากปีนังก็ตั้ง ๒๕ บาท
		
		       "ข้าพเจ้านั่งตรวจตลาดอยู่ในโรงเหล้าประจำเหมืองนั่นเอง ข้าพเจ้า
		เรียนพาณิชย์จากร้านนั้น และได้มีความรู้ต่อไปว่า กาแฟกับชาขายดีจน
		เจ้าของร้านไม่ยอมล้างถุงชงง่ายๆ  ยาฉุนกับใบจากเป็นของคู่กัน ความ
		จริงมันควรจะขายได้พร้อมๆ กัน แต่กลับเป็นว่าใบจากขายดีกว่ายาฉุน
		เพราะเหตุว่าใบจากถูกเก็บไว้ในตู้กระจก ส่วนยาฉุนวางที่หิ้ง เวลาเจ้าของ
		ร้านเผลอก็หยิบทึ้งเอาได้ฟรีๆ"

		       "หินลับมีดนั้นอย่าได้เอาเข้าไปเป็นอันขาด นี่มิได้หมายความว่าคน
		ที่นี่ใช้มีดทื่อ หากแต่ว่าตามก้นลำธารเต็มไปด้วยหินขนาดต่างๆ รูปร่าง
		ต่างๆ จะเลือกเอาที่หยาบอย่างไร ละเอียดอย่างไรก็ได้ เวลาคนงานถาง
		ป่าต้องการจะลับมีด เขาก็เดินไปที่ลำธารได้ทั้งน้ำ ได้ทั้งหิน ยิ่งไปกว่านั้น
		พวกเขาเสียอีกที่จะเลือกหินรูปงามๆ เข้ามาฝากขายในจังหวัดเป็นหินลับ
		มีดชั้นดีเสียด้วย"
				(เหมืองแร่ ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๒๙๒ - ๒๙๓)
		
	เรื่อง สงกรานต์เหงื่อ
		ผู้เขียนมีความคิดคำนึงเปลี่ยนไป
		
		        "ในร้านกาแฟ ปีแรกๆ ก็ทำให้ข้าพเจ้าตื่นเต้นในรสชาติดิบๆ สุกๆ
		ของมัน แต่นานวันเข้า ความจำเจและเบื่อหน่าย ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ไอ้
		โรงมุงหลังคาจากฝาไม้ไผ่พื้นเทปูนบางๆ พอเป็นพิธีจนมีรอยแตกกะเทาะ
		เป็นหลุ่มเป็นแอ่งอยู่หลายแห่งนี้เป็นมุมอับที่อนาคตลอยข้ามไปอย่างเฉย
		เมย"

		         "ได้ฟังแต่เสียงผัวเมียเจ้าของร้านโต้เถียงกันซ้ำๆ ซาก ด้วยเรื่อง
		ไร้สาระ หายใจด้วยอากาศเหนือโต๊ะปูนหินอ่อนเลวๆ ที่จำเจยิ่งกว่าใบหน้า
		ของตัวเองในกระจกเงา มีเก้าอี้โปเกน่าเบื่อจนต้องใช้เท้ายันอีกตัวหนึ่งให้
		ห่างไว้ มีเหล้าประจำจังหวัดอันเหม็นเฝื่อนจากขวดที่ปิดป้ายลวกๆ เหมือน
		จะทำให้พ้นๆ จากโรงงาน แก้วเหล้าทุกใบหรือก็เต็มไปด้วยคราบมัว และ
		เกือบจะเป็นใบเดิมที่จำปากบิ่นของมันได้ มีลูกค้าขาประจำซ้ำหน้าจนเบื่อ
		ขี้หน้า และมีคนร่วมโต๊ะน่าเบื่อหน่าย เพราะว่ายิ่งนานวันขึ้นก็ยิ่งแสดงว่า 
		ไม่มีอะไรใหม่ เข้าออกทางปากหรือดวงตาของเขาเลย"

		           "จำเจเสียจนน่าอิจฉาปฏิทินฉีกข้างฝาที่มันเปลี่ยนโฉมหน้าได้วันละ
		แผ่น" 
					(เหมืองแร่ ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๖๘๓)
		
	เรื่อง มือมืดแห่งเหมืองแร่
		ผู้เขียนได้บรรยายฉากไว้ว่า
		
		         "ข้าพเจ้านั่งอยู่คนเดียวในร้านเหล้า มีเจ้าของร้านนั่งหัวโด่ตากลมอยู่
		หน้าถัง ข้าพเจ้ากินเหล้า มันเป็นเทพธิดาส่องประทีปให้แก่ดวงใจอันว้าเหว่
		และเป็นทั้งวิตามินให้แก่ร่างกายอันเมื่อยล้า มันเป็นมหรสพสำหรับคนในที่
		กันดาร มันเคยเป็นมายากลทำให้คนเห็นช้างเล็กเท่าหมูมาแล้ว  บัดนี้มันกำลัง
		ทำให้ข้าพเจ้าเห็นถนนว่างๆ หน้าร้านกลายเป็นวิวที่น่าสนใจ เห็นพุ่มเสือหมอบ
		ฝั่งตรงข้ามอันคนแถวนั้นใช้เป็นส้วมกลายเป็นสิ่งที่ให้อารมณ์ขัน แม้แต่ควาย
		ตัวหนึ่งที่ชาวบ้านจูงใกล้เข้ามาก็ทำให้เพลินดูกล้ามเนื้อต้นขาของมันที่กระ
		เพื่อมทุกย่างก้าว แทนการดูประกวดนางงามในกรุงเทพฯ  ฟังเสียงกีบตีน
		ที่ถูกร่างอันทะมึนกดลงมาย่ำดินลูกรังดังกรอบแกรบแทนจังหวะเต้นรำที่
		ไม่ได้เคยพบเคยเห็นมาสามปีแล้ว ดูร่างสีดำด้านๆ ของมันขัดแย้งกับขนอ่อน
		นุ่มสีนวลตามท้องและใบหู  แล้วฝึกวิชาชีววิทยาว่านั่นคือ ลักษณะของสัตว์ที่
		แข็งแรงหยาบกร้านแต่มีความว่าง่าย"
				          (เหมืองแร่ ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๗๓๓-๗๓๔)

	เรื่อง โบนัส 
		ผู้เขียนให้ภาพจุดจบของเวทีละครชีวิต ไว้ว่า
		
		         "ที่นั่น กลางดินแห้งๆ ใต้ชายคาร้านกาแฟ ซึ่งปิดกิจการแล้ว ไม่มี
		แม้แต่แคร่ที่เราเคยนั่งเล่มหมากรุก เพราะเจ้าของร้านเขาขนไปไว้ในตลาด
		แล้ว ขนหมดทุกสิ่ง เหลือแต่โรงไม้หลังนี้ที่กำลังจะงัดฝากระดานขาย และ
		เหลือแต่ตัวเขานอนเฝ้า ไม่ใช่เฝ้าร้านที่ว่าง แต่เฝ้าคนเหมืองแร่ คนสุดท้าย
		ที่มีบัญชีเงินติดกับมองตัวเลขบรรทัดสุดท้ายของแต่ละคนเขา  ทั้งหมดที่
		เจ้าของร้านมีคือ เสื่อผืนหมอนใบกับสมุดบัญชีเล่มเล็กอันเก่าแก่ ซึ่งเขาขอ
		ร้องให้พวกเรา เราก็ตัดสินใจชำระหนี้อย่างผู้ที่ต้องการสร้างความดีสักครั้ง
		หนึ่งไว้ในชีวิตแล้ว เขาก็ร่อนสมุดเล่มนั้นลอยลมข้ามถนนแคบๆ ไปในพง
		ไม้ฝั่งตรงข้าม  รอยฉีกแฉกของอากาศที่สมุดเล่มนั้นถูกเหวี่ยงหวือไปก็คือ
		เส้นกากบาทขีดฆ่าประวัติการดำรงชีพของเราในเหมืองแร่ ณ บัดนั้น"
					(เหมืองแร่ ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๘๐๗)	


กลับไปหนังสือประเภทเรื่องสั้น