วรรณสาส์นสำนึก
พิมพ์ในนิตยสารช่วง ๒๔๙๒ - ๒๔๙๕
พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก พ.ศ.๒๕๒๙

สุภา ศิริมานนท์
(พ.ศ.๒๔๕๗ - ๒๕๒๙)



		วรรณสาส์นสำนึก เป็นการรวมบทวิจารณ์วรรณกรรมที่มี
	ผลสะท้อนในเชิงกระตุ้น ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ วรรณคดีโบราณ วรรณคดี
	ต่างประเทศและวรรณกรรมร่วมสมัย เป็นหลักเขตทางประวัติศาสตร์วรรณกรรม
	ที่ได้ชี้นำการก่อกำเนิดของสายธารวรรณกรรมเพื่อชีวิตในเวลาต่อมา 

	วรรณสาส์นสำนึก มีจำนวน ๒ เล่ม 
	วรรณสาส์นสำนึก เล่ม ๑
		ประกอบด้วยบทความประเภทต่างๆ ไว้ด้วยกันเป็น ๔ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑
	เป็นข้อเขียนในหัวข้อ เรื่อง "ศิลปะ" ส่วนที่ ๒ ว่าในหัวข้อเรื่อง "ภาษาและหนังสือ"  
	ส่วนที่ ๓ ในหัวข้อเรื่อง "นักเขียนไทย" และส่วนที่ ๔ ในหัวข้อเรื่อง "นักเขียนต่าง
	ประเทศ"

		ในวรรณสาส์นสำนึก เล่ม ๑  เริ่มด้วยบทความชื่อ "ศิลปะทั้งหลายย่อม
	เกี่ยวพันอยู่กับสามัญชนแต่เท่านั้น"  นับว่าเป็นชื่อบทความที่ท้าทายชวนให้อ่านและ
	ชวนให้เกิดความคิดในการวิวาทะอย่างยิ่ง  ดังข้อเขียนต่อไปนี้
	
		"ความคิดต่างๆ จะสามารถเป็นที่เข้าใจได้ก็แต่โดยเหตุที่ความคิดนั้นๆ มี
	ความเกี่ยวเนื่องอยู่กับความเป็นจริงทางวัตถุแห่งชีวิต และความเป็นจริงต่างๆ ของ
	ชีวิต จะสามารถเป็นที่เข้าใจได้ก็แต่โดยพิจารณาถึงความขัดแย้งกันภายในของมัน 
	ถึงความเคลื่อนไหว และถึงความเปลี่ยนแปลง"

		"ความทรงอยู่ของชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะกำหนดเอาได้โดยจิตสำนึก แต่
	จิตสำนึกนั้นแหละพีงกำหนดเอาได้โดยความทรงอยู่ของชีวิต"
	
		ข้อสรุปของผู้เขียน คือ "ศิลปะ คือ การสื่อสาส์น" ระหว่างผู้เสพย์
	กับผู้สร้างศิลปะ

		บทความที่ ๒ ชื่อ "ภาวะของศิลปะภายใต้ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์"
	เป็นบทความขนาดยาวที่น่าศึกษาที่ผู้เขียน ได้อาศัยนำเอาศิลปะมาอธิบาย โดยมีเป้า
	หมายอยู่ที่การชี้ให้เห็นภึง "ภัย" ของระบอบเผด็จการฟาสซิสต์มากกว่า รวมทั้งชี้
	ถึงพลังของประชาชน โดยได้สรุปว่า
	
		"รูปแบบของศิลปะย่อมเดินตามรอยเนื้อหาของมัน และการเมืองหรือ 
	การเศรษฐกิจสังคมย่อมเดินนำหน้าศิลปะอยู่เสมอ การพิจารณางานของศิลปะ โดย
	เกาะแน่นอยู่ภายในวงแคบๆ แล้วก็อ้างและกระทำเสมือนว่าศิลปะเป็นสิ่งโดดเดี่ยว 
	หรือเป็นสิ่งที่ส่งมาแต่เขาไกรลาส ไม่มีความสัมพันธ์กับชีวิตของมหาชนแต่อย่างใด
	เลยนั้น เป็นหลักพิจารณาของผู้ลุ่มหลงงมงายจำพวกหนึ่ง ซึ่งมีลักษณาการคล้าย
	คนบ้า"

		"พลังทั้งมวลของประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ ได้เข้าข้างและอยู่ข้าง
	ประชาชนโดยเด็ดขาดเสมอ และก็ด้วยเหตุนั้นเอง  ชัยชนะของประชาชนจึงเป็นสิ่ง
	ที่ถึงใครจะพยายามหลีกหนี พยายามบิดเบือนโกหกอย่างไรก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมี
	มาถึงเสมอ ชัยชนะของประชาชน นี่แหละคือชัยชนะ ซึ่งแบกเอาความหวังและ
	อนาคตของศิลปะเข้าไว้ด้วย พรแห่งเสรีภาพและพรแห่งประชาธิปไตยอยู่ที่การเข้า
	ร่วมต่อสู้ของมวลศิลปิน...คนงานฝ่ายวัฒนธรรมทั้งหลายนั่นเอง"
		
		ผู้เขียน นอกจากเป็นนักคิด ยังเป็นนักภาษาศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนได้ศึกษา
	อย่างลึกซึ้งในบทความชุดต่อมา  ในหัวข้อภาษาและหนังสือ ซึ่งยังหานักวิชาการที่
	ศึกษาถึงวิวัฒนาการของภาษาได้อย่างลึกซึ้ง ด้วยทัศนคติที่เกาะแน่นอยู่กับหลัก
	วิทยาศาสตร์ทางสังคมที่ผู้เขียนได้เขียนไว้
	
		"ผู้ที่ทำภาษาขึ้นมาก็คือ ตัวท่านและคนอื่นๆ เหมือนๆ อย่างท่านนับด้วย
	จำนวนเป็นล้านๆ นั่นเอง มิใช่ใครที่ไหนหรือ ผู้วิเศษคนใดเลย"
	

อ่านเล่มที่ ๒ ไปหน้าที่ 2


กลับไปหนังสือประเภทศิลปะ, ภาษาและวรรณกรรม, วรรณกรรมวิจารณ์