วรรณคดีวิจารณ์และวรรณคดีศึกษา เจตนา นาควัชระ (ผู้เขียน)
เสนอแนวคิดต่างๆ ในวรรณคดีในเชิงปัญหา กล่าวคือ เป็นเรื่องที่คิดกันได้จากต่างแง่
ต่างมุม "การวิจารณ์วรรณคดีนั้นจะหาหลักที่ตายตัวลงไปได้ยาก" นี่ก็เป็นการมองจาก
มุมหนึ่ง "แต่นักวิจารณ์ส่วนมากก็มิได้ย่อท้อ ในการที่จะแสวงหาหลักเกณฑ์" (น. ๒)
ก็เป็นอีกมุมหนึ่งซึ่งแย้งมุมแรก แต่การพิจารณาไม่ใช่เพียงเสนอเป็น ๒ แง่มุมนี้เท่านั้น
ผู้เขียนยังก้าวต่อไปอีกว่า "จริงอยู่การสร้างทฤษฎีใดๆ เป็นเรื่องล่อแหลม เพราะถ้า...
มิได้มีประสบการณ์เพียงพอหรือมิได้ใฝ่ใจที่จะค้นหาข้อมูลที่เชื่อถือได้มาอ้างเป็นหลัก
ฐาน หรือ...เป็นผู้มักง่าย...ก็อาจจะสร้างโทษมากกว่าสร้างคุณ" อย่างไรก็ตาม ก็เสริมแก้
ว่า "แต่การที่นักวิชาการบางคนมีอคติต่อวรรณคดีวิจารณ์เชิงทฤษฎี เป็นทุนเดิมเสียตั้ง
แต่ต้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการสกัดกั้นทางก้าวหน้าของวรรณคดีวิจารณ์" (น.๓) วิธีการใช้
เหตุใช้ผลที่พยายามมองค้าน มองแย้ง มองเติม มองเสริม มองแก้ ทำนองนี้เป็นแนว
การพิจารณาแนวคิดต่างๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลายในข้อเขียนนี้จะเรียกได้ว่าเป็น
'การใช้เหตุใช้ผลเชิงสนทนา' (dialogic reasoning) อันต่างไปจากการเสนอเหตุผล
เชิงเดียว ว่าสิ่งหนึ่งต้องเป็นเช่นนั้น หรือเช่นนี้ ทำนองให้ความหมายเป็นคำนิยาม ซึ่งไม่
เปิดช่องให้เห็น 'เป็นอื่น' ได้ การมุ่งให้เห็น "ความเป็นอื่น" นี้สะท้อนความคิดเสรีประชา
ธิปไตย ที่ต่างจากแนวคิดการวิจารณ์แบบชี้แนะไปทางใดทางหนึ่ง
'การใช้เหตุใช้ผลเชิงสนทนา' นี้ มิใช่เป็นการแสดงโวหาร หรือทำกายกรรม
ทางความคิดให้มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก แต่คล้องกับปรัชญาของผู้เขียนคือ "วัฒน
ธรรมแห่งการวิจารณ์" ซึ่งขยายความอย่างพิสดารในช่วงต่อมา การเสนองานเขียน
ข้อคิด แบบมีวัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์ เป็นลักษณะเด่นลักษณะหนึ่งของข้อเขียนนี้
การเสนอแนวคิดต่างๆ ในวรรณคดีในเชิงปัญหานี้ สอดคล้องกับสารัตถะ
ของวรรณคดี ในแง่ที่วรรณคดีเป็นเรื่องของการสะท้อนและครุ่นคิดถึงชีวิตหรือตาม
ที่ผู้เขียน ถอดมาจากกวีและนักวิจารณ์เรืองนามชาวอังกฤษ (Matthew Arnold
๑๘๒๒-๑๘๘๘) ว่า วรรณคดี "เป็นสิ่งที่จะกระตุ้นปัญญาความนึกคิดให้แก่ผู้อ่าน มี
คุณค่าในทางการศึกษา ...วรรณคดีวิจารณ์มีบทบาทที่สำคัญยิ่งในการที่จะชี้ให้เห็น
คุณค่าต่างๆ ในวรรณคดี จนถึงกับกล่าวว่า การวิจารณ์วรรณคดีก็คือ การวิจารณ์
ชีวิตมนุษย์นั่นเอง" (น. ๑๕)
ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้นำแนววิจารณ์ต่างๆ มาแสดงไว้ แต่ไม่ว่าจะเป็น
แนวใดก็มิใช่ว่าจะนำไปประยุกต์ใช้ตายตัวเสมอไป เช่น วรรณคดีวิจารณ์แบบอิงชีว
ประวัติ แม้ว่าจะน่าสนใจ แต่ "...จะต้องระมัดระวัง ... สิ่งที่นักประพันธ์เขียนเกี่ยวกับ
ตัวเองอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้ ... อัตชีวประวัติของ Rousseau อาจจะ
ถือเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้เป็นบางตอน ในบางครั้งความจำของ Rousseau ก็เลอะ
เลือนไปบ้าง บางครั้ง Rousseau ต้องการที่จะเขียนป้องกันเกียรติยศของตนเอง"
(น. ๗) หรือแนววรรณคดีวิจารณ์กับศิลปวิจารณ์ ซึ่งแม้ว่าจะ "เป็นศาสตร์ที่ควรจะ
ศึกษาร่วมกันได้" แต่ "จะต้องทำอย่างรอบคอบ เพราะการนำความคิดเกี่ยวกับรูป
ลักษณะ (style) มาประสมกับยุค (period) ดังที่นักวิจารณ์ศิลปะอาจจะไม่ตรงกับยุค
ของประวัติศาสตร์ก็ได้ บางครั้งวรรณคดีก็ก้าวเร็วกว่าทัศนศิลป์ แต่บางครั้งก็ก้าวช้า
กว่า ... แต่เราก็อาจจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสถาปัตยกรรมไทยในสมัยรัชกาลที่สอง อาจจะมี
ลักษณะบางอย่าง เช่น ความแช่มช้อย ซึ่งจะกระตุ้นให้เราสนใจที่จะแสวงหาคุณลักษณะ
เหล่านั้นในวรรณคดียุคเดียวกันได้" (น. ๒๕-๒๖) แนววรรณคดีวิจารณ์อื่นๆ ก็นำเสนอ
ด้วยแนว 'การใช้เหตุใช้ผลเชิงสนทนา' นี้ทั้งสิ้น ในด้านหนึ่งก็เป็นการ "ค้าน แย้ง เติม
เสริม แก้" ต่อแนวคิดทฤษฎีที่มีอยู่ ในอีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่า ความไม่ตายตัวใน
การมองวรรณคดีกับการมองชีวิตนั้นอิงเอื้อกัน
การใช้หลักใดหลักหนึ่งในวรรณคดีวิจารณ์เป็นเรื่อง "ล่อแหลม" ฉันใด
การตัดสิน และการดำเนินชีวิตทั้งของผู้อื่นและของตัวเราเอง โดยมิได้คำนึงถึง
เงื่อนไข ก็ "ต้องระมัดระวัง" ฉันนั้น
ในข้อเขียนของผู้เขียนนี้ จึงมิเพียงเป็นเรื่องของการนำเสนอแนว
คิดต่างๆ ในวรรณคดีวิจารณ์ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของหนังสือ แต่ยังชวนให้คิด
กว้างไกลไปถึงการใช้เหตุใช้ผล และการคำนึงถึงความสลับซับซ้อนของชีวิต
ถ้าหัวใจหนึ่งของวรรณคดีเป็นเรื่องการขบเกี่ยวกับปัญหาของชีวิต การอ่าน
วรรณคดี จึงเป็นการขยายขอบเขตประสบการณ์ของชีวิตที่จำกัดของแต่ละ
คน และปลูกฝังให้คิดถึงชีวิตอื่นๆ ที่อาจจะไม่คล้องกับกรอบวัฒนธรรม หรือ
มาตราการทางศีลธรรมของเราเอง แท้จริงแล้ว ชีวิตของมนุษย์ปุถุชนนั้นยาก
อย่างยิ่งที่จะดำเนินไปตามหลักการใดหลักการหนึ่งอย่างเคร่งครัดอย่างเสมอ
ต้นเสมอปลายตลอดไป แม้การปฏิบัติตามศีลห้าอย่างสมบูรณ์พร้อมนั้นก็เป็น
เรื่องพ้นวิสัยของมหาชน แต่ชีวิตเป็นไปตามเงื่อนไข มิใช่กำหนดได้อย่างตาย
ตัว แนวคิดทางวรรณคดีวิจารณ์และการวิจารณ์ชีวิตก็ดุจกัน
อ่านต่อ ไปหน้าที่ 2
|