ผลการเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์

          ช่วงสองเดือนหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ นั้น กรรมกรนัดหยุดงานเพิ่มมากขึ้นกว่า ๓๐๐ ครั้ง และในปีถัดมา หยุดงานกระแสการนัดหยุดงานก็พุ่งสูงขึ้นมากกว่า ๗๐๐ ครั้ง ถึงขนาดสามารถกล่าวได้ว่า ขบวนการกรรมกรร้อยละ ๘๐ เคยนัดหยุดงานในช่วงเวลาดังกล่าวมาแล้วทั้งนั้นปัญหาการนัดหยุดงานของกรรมกรเกิดจากสภาพความบีบคั้นแร้นแค้น ที่สะสมมานานจนเกิดแรงระเบิดขึ้นในระยะดังกล่าว ผู้ใช้แรงงานเรียกร้องขอเพิ่มค่าจ้างและสวัสดิการ รวมทั้งหลักประกัน ในการทำงาน จนกระทั่งปี ๒๕๑๗ กรรมกรก็ชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ที่ท้องสนามหลวง สามารถเรียกร้องให้รัฐบาล นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ออกประกาศกำหนดค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศได้สำเร้จ และนำไปสู่การออกกฎหมายคุ้มครอง แรงงานในวิสาหกิจต่าง ๆ แล้วเติบโตขยายตัวก่อตั้งองค์กรกลางสหภาพแรงงานและองค์การสภาลูกจ้างแรงงานในที่สุด

          ส่วนการเคลื่อนไหวของชาวนาชาวไร่ในชนบทนั้น หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ ชาวนาชาวไร่ผู้ประสบ ความเดือดร้อน มาช้านานได้รวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาชาวนา ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ จนถึงเดือนพฤษภาคม ชาวนาจำนวนมาก ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องหนี้สิน และปัญหาการครอบครองที่ดิน ปลายเดือนมิถุนายน ๒๕๑๗ ชาวนาได้จัดชุมนุมใหญ่เป้นครั้งแรกที่ท้องสนามหลวง และชุมนุม กันอีกครั้งในเดือน พฤศจิกายนปีเดียวกัน ในที่สุดก็มีการก่อตั้ง องค์กรของชาวนาขึ้นอย่างเป็นทางการในชื่อ “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่”

          การเคลื่อนไหวต่อต้านความไม่เป็นธรรมในสังคมของกลุ่มผู้ทุกข์ยากในช่วงหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ ได้พัฒนาพร้อมไปกับอุดมการณ์สังคมนิยมที่แพร่หลายอยู่ในเวลานานนั้น โดยเฉพาะแนวคิดสังคมนิยม แบบจีนนั้น ได้รัยการเผยแพร่อย่างมาก เสกสรร ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษาสมัย ๑๔ ตุลา ๑๖ กล่าวยอมรับว่า สังคมไทย เริ่มแยกออกเป็นสองขั้วตั้งแต่ประมาณกลางปี ๒๕๑๗ เป็นต้นมา ขั้วหนึ่งคือกลุ่มปฏิรูป ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษา ครูอาจารย์ นักหนังสือพิมพ์ กรรกร และชาวนา กลุ่มขั้วนี้ต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสถาบันทางการเมือง รูปแบบวิธีการเก็บภาษี เรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน นโยบายต่างประเทศ และสัมพันธ์ภาพของข้าราชการกับชาวบ้าน อีกขั้วหนึ่ง คือกลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มอำนาจเก่าอย่างทหาร ชนชั้นสูงบางกลุ่ม ชนชั้นกลางบางพวก ชาวบ้าน บางส่วน และนักเรียนอาชีวะส่วนหึ่ง กลุ่มขั้วนี้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ เป็นสิ่งที่สังคมไทย รับไม่ได้ การที่สังคมไทยเริ่มแบ่งเป็นสองขั้วสองฝ่ายนั้น  มีสาเหตุมาจากปัญหาของประเทศที่หาทางออกไม่ได้ ฝ่ายขบวนการ นักศึกษาจึงเริ่มหันมาพิจารณาว่า อุดมการณ์สังคมนิยมอาจเป็นทางออกของสังคมไทย ในระยะนั้นแนวความคิด ที่เรียกร้องให้นักศึกษาประสานกับกรรมกรชาวนาเพื่อ “รับใช้ประชาชน” เป็นที่ยอมรับกัน โดยทั่วไป นอกจากนี้ ในเรื่องของศิลปะ ดนตรี วรรณกรรมและละคร ต่างก็ปวารณาตัวเข้า “รับใช้ประชาชน” ด้วยกันทั้งสิ้น ในวงการหนังสือ มีการพิมพ์หนังสือต้องห้าม เช่น โฉมหน้าศักดินาไทย แต่งโดยจิตร  ภูมิศักดิ์  กงจักรปีศาจ  รวมถึงผลงานของฝ่าย สังคมนิยม  เช่น สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง การปฏิวัติเลนิน ฯลฯ ออกเผยแพร่อย่างคึกคัก ทั้งที่ครั้งหนึ่งรัฐบาลเผด็จการเคยสั่งห้ามพิมพ์เผยแพร่

          ท่ามกลางสภาพที่ก่อให้เกิดความสั่นคลอนและหวาดเกรงจะสูญเสียผลประโยชน์ในหมู่ผู้มีอำนาจและกลุ่ม ผลประโยชน์ต่าง ๆ แทนที่คนกลุ่มนี้จะหันมาแก้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และ การเมือง ให้เกิดความเป็นธรรม ต่อคนหมู่มาก หรือหันมาร่วมมือสร้างประเทศไทยให้มีเอกราชและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตรงกันข้ามคนกลุ่ม ดังกล่าวซึ่งเป็นพวกอนุรักษ์นิยมกลับเพ่งเล็งว่า การเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาประชาชนได้สร้าง ความวุ่นวายให้สังคม และมองการเคลื่อนไหวต่อต้านความไม่เป็นธรรมว่า เป็นการกระทำของคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีวิธี จัดการเพียงวิธีเดียว คือ ต้องใช้ความรุนแรงเข้าทำลาย

         ตั้งแต่ช่วงกลางปี ๒๕๑๗ เป็นต้นมา กลุ่มอำนาจเก่าที่เสียขวัญคราวเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ ก็ฟื้นตัวเริ่ม เคลื่อนไหวต่อต้านพลังของนักศึกษาประชาชน โดยแยกสลายพลังนักเรียนอาชีวะออกจากขบวนการนักศึกษา แล้วจัดตั้งกลุ่มกระทิงแดงเพื่อคอยก่อกวนขบวนการนักศึกษา ในปี ๒๕๑๘เกิดชมรมวิทยุเสรี ชมรมแม่บ้าน ฯลฯ ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ เป็นต้นมา นักศึกษาและขบวนการประชาชนเริ่มถูกฝ่ายตรงข้ามใช้ความรุนแรงตอบโต้ เช่น ผู้นำชาวนาที่ทำงาน ในสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ ๓๐ คนถูกสังหาร เมื่อล่วงเข้าปี ๒๕๑๙ การสังการทางการเมืองยิ่งเกิดขึ้นอย่างเปิดเผย ตั้งแต่การสังหารอมเรศ ไชยสะอาดฝ่ายการเงินของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ตลอดจน การขว้างระเบิด ใส่นักศึกษาประเทศประชาชนที่เดินขบวนต่อต้านฐานทัพอเมริกันเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๑๙ เป็นต้น เหตุฆาตกรรม แต่ละครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับตัวคนร้ายมาลงโทษได้

          ส่วนความเคลื่อนไหวด้านการเมืองนั้นหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว รัฐบาลนายสัญญาได้ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แก่นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่เดินขบวนในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในปลายปี ๒๕๑๗  พร้อมทั้งกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๘ ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์โดยการนำของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ได้มีที่นั่งในสภาฯเพียง ๑๘ ที่นั่งเท่านั้น

          ประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2517 เป้ฯประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบเพราะเป็นประชาธิปไตยที่ได้มา โดยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นับได้ว่าเป็นประชาธิปไตยที่ได้มาจาการต่อสู้ของมวลชน  สิ่งที่ปรากฏในระหว่างนี้ มองได้สองทางคือ

ในทางบวก

1.โอกาสของการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย การเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาล การแก้ไขข้อขัดแย้งต่างๆ แสดงเด่นชัดว่า คนไทยรู้กติกาและสามารถปกครองตนเองในระบบอบ ประชาธิปไตย ได้อย่างน้อยก็ชี้ให้เห็นว่ามีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองและระบบ

2.ความตื่นตัวทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง การเรียกร้องและประท้วงต่างๆ ความสนใจ ของคนที่มาฟังคำอภิปราย รวมทั้งสิ่งตีพิมพ์ที่เป็นวรรณกรรมทางการเมือง ชี้ให้เห็นลักษณะพลวัตของ การเมืองไทย ความตื่นตัวและความกระตือรือร้น การเรียกร้องสิทธิและการตระหนักถึง สัมฤทธิ์ผล ทางการเมือง

3.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเมือง การพยายามจับกลุ่มและเข้าร่วม องค์กรทางสังคม และการเมือง

4.ความเสมอภาคทางการเมือง การผูกขาดอำนาจทางการเมืองลดลง ทำให้คนจำนวนไม้น้อยมี ความรู้สึกว่าตนมีเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าคนอื่น

5.การตอบสนองของระบบราชการต่อความต้องการของประชาชนดีขึ้น ระบอบประชาธิปไตย ที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่ราชการ กระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากขึ้น การวางอำนาจบาตรใหญ่ลดน้อยลงและความรู้สึกเรื่องประชาธิปไตยเริ่มเกิดขึ้นในหมู่ราชการ

ในทางลบ

1.การเรียกร้องทางการเมืองเกินขอบเขต เกิดการเรียกรอง การประท้วง การนัดหยุดงาน ซึ่งเกิดขึ้น อย่างมากมาย (ปี 2516 จำนวน 501 ครั้ง, ปี 2517 จำนวน 357 ครั้ง, ปี 2518 จำนวน 241 ครั้ง, ปี 2519 จำนวน 133 ครั้ง) การเข้ามาร้องทุกข์ของชาวนา ฯลฯ ซึ่งมีหลายกรณีมาจากความจริง และหลายกรณี มาจากการฉวยโอกาสไม่สมเหตุสมผล แต่ที่สำคัญคือ การเรียกร้องอันมากมายนี้ชี้ให้เห็นว่า การตื่นตัว ทางการเมือง กำลังถึงจุดสูงสุดซึ่งจะเกินเลยความสามารถและทรัพยากรของระบบการเมือง ซึ่งน่าเป็นห่วง ยิ่ง

2.ปฏิกิริยาตอบโต้จากกลุ่มอนุรักษ์นิยม การเกิดกลุ่มต่างๆที่ได้มีการเรียกร้องทางการเมืองได้นำไปสู่การเกิดกลุ่มต่อต้านหรือกลุ่มค้านขึ้นมาซึ่งมีกิจกรรม การแสดงออกในทางความรุนแรง เป็นการคุกคามต่อการรวมกลุ่มทางการเมือง เช่น กลุ่มกระทิงแดง เป็นต้น

3.การใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา การแสดงออกทางการเมืองเริ่มส่อให้เห็นความรุนแรงมากขึ้น จนเกิดความรู้สึกว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป ความรุนแรงที่เห็นได้ชัด คือ การที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งยกพวกไป ทำลายบ้านนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช การยกพวกเข้าเผามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การพยายามขว้างระเบิดพรรคพลังใหม่ การขว้างระเบิดใส่การชุมนุมหาเสียงของ พรรพลังใหม่ที่จังหวัด ชัยนาท การขว้างระเบิดใส่ผู้การชุมนุมของชาวมุสลิมภาคใต้ การขว้างระเบิดใส่ผู้เดินขบวน ประท้วง การตั้งฐานทัพอเมริกาและสถานีเรด้ารามสูรณ์  การสังหาร ดร.บุญสนอง บุณโยทยาณ อดีตเลขาธิการ พรรคพลังสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ฯลฯ ล้วนแต่ส่อให้เห็นความวุ่นวายและปั่นป่วนทางการเมือง ซึ่งมีแนวโน้มว่าถ้าปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ กลียุคทางการเมืองกำลังจะตามมา

4.ความคิดทางการเมืองแตกแยกสุดโต่งเป็นสองขั้ว ปรากฏการณ์ที่นาวิตกที่สุดคือการแตกแยกในทางความคิดทางการเมืองของคนไทยที่แตกแยกเป็นสองขั้ว อย่างสุดโต่งในลักษณะประจัญหน้า การแตกแยกดังกล่าวคือการแตกออกเป็นกลุ่มซ้ายจัดและขวาจัด ซึ่งมีความต่างกันในแง่อุดมการณ์โดยฝ่ายขวาจัดมองดูฝ่ายซ้ายจัดหรือหัวก้าวหน้าว่าเป็นกลุ่มที่เป็นภัย ต่อสังคมไทย เป้ฯคอมมิวนิสต์ที่มุ่งทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ส่วนกลุ่มซ้ายจัด ก็มองกลุ่มขวาจัด ว่าเป็นพวกไดโนเสาเต่าล้านปี พวกปฏิกิริยาที่พยายามจะหยุดกงล้อของประวัติศาสตร์ อีกทั้ง  ทั้งสอง กลุ่มยัง ตีความประชาธิปไตย แตกต่างกันอีกด้วย ฝ่ายขวาจัด ตีความว่าประชาธิปไตยคือรูปแบบการเมือง การปกครองของอังกฤษหรือยุโรปตะวันตก หรือสหรัฐอเมริกา ส่วนฝ่ายหัวก้าวหน้าตีความว่า ประชาธิปไตย ที่แท้จริงคือประชาธิปไตยมวลชนแบบสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น

Next>>


หน้าที่1 : หน้าที่2 : หน้าที่3 : หน้าที่4

กลับสู่    หน้าหลัก

จัดทำโดย  NeoFreeEnergy Group

Last changed: มกราคม 24, 2546