นักมาร์คซิสต์ต้องมองย้อนกลับไปถึง 6 ตุลาเพื่อต่อสู้ใหม่ในอนาคต
ถ้าเราจะเข้าใจ  ๖   ตุลาคม   ๒๕๑๙   เราต้องเริ่มที่  ๑๔   ตุลาคม   ๒๕๑๖  เพราะเหตุการณ์การต่อสู้ของมวลชนชาวไทยในวันที่  ๑๔  ตุลาคม  ๒๕๑๖  เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนชั้นล่าง เนื่องจากคนไทยนับเป็นแสนออกมาประท้วงและล้มเผด็จการทหารจนสำเร็จ

ใจ    อึ๊งภากรณ์
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


        มีคนสองกลุ่มในสังคมไทยที่ต้องการลืมเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2516  
กลุ่มแรก เป็นส่วนหนึ่งของผู้ถูกกระทำ และต้องการลืมความป่าเถื่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดต่อไป  กลุ่มนี้น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่งและจะไม่กล่าวถึงต่อไป แต่
กลุ่มที่สอง คือชนชั้นปกครองไทยที่ต้องการลืมเหตุการณ์นี้เพราะ ( ตามที่ผู้นำแรงงานอาวุโส ท่านหนึ่งเคยเสนอ ) “มันเข้าถึงเนื้อของชนชั้นปกครองไทย และแสดงถึงธาตุแท้ของมัน”

        สิ่งที่ผู้นำแรงงานอาวุโสคนนี้พูดน่าจะตรงกับความเป็นจริง เพราะไม่มี พรรคการเมืองไหน ไม่มีสถาบันไหน ไม่มีองค์กรไหนของชนชั้นปกครองไทย ที่มือไม่เปื้อนเลือดจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519  ถึงแม้ว่าในยุคนี้ ชนชั้นปกครองไทยอาจดูเหมือนแบ่งเป็นหลายฝ่าย หลายพรรค ที่ต่างแย่งชิงผลประโยชน์กัน  แต่ในช่วงก่อน 6 ตุลาคม 2519 เขาเห็นพ้องกันในเรื่องหนึ่ง  นั้นคือทุกคนต้องการยับยั้ง  และทำลายกระบวนการการต่อสู้ของชนชั้นล่าง และนักศึกษาที่กำลังจะนำเราไปสู่การปรับปรุงสังคมไทยเพื่อให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น

        ถึงแม้ว่าในหมู่ชนชั้นปกครองไทยสมัย 6 ตุลาคม 2519  อาจมีกลุ่มอนุรักษ์นิยมยุคหินตกขอบ ที่เข้ามาถืออำนาจในระยะสั้นหลังการทำรัฐประหาร  แต่เสียงส่วนใหญ่ในหมู่ชนชั้นปกครองไทย ฉลาดพอที่จะรู้ว่าการปกครองแบบเผด็จการหลังยุค 14 ตุลาคม 2516 คงจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเขามากนัก (วิทยากร 2541) ตรงกันข้ามอาจสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งทางสังคมมากขึ้นด้วยซ้ำ         

        ดังนั้นผู้นำรัฐหัวก้าวหน้าหลายคนจึงพยายามพาสังคมไทยไปสู่ประชาธิปไตยอีกครั้ง แต่เป็นประชาธิปไตยในรูปแบบที่ชนชั้นปกครองต้องการ ต่างจากประชาธิปไตยในช่วงระหว่าง 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 คือเป็นประชาธิปไตยที่ขาดการเรียกร้องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ผลที่ได้มาก็ชัดเจน หลัง 6 ตุลาคม 2519 สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ไปเป็นกำไรสำหรับนายทุนเพิ่มขึ้น 23% (Glassman 1999) ระหว่าง พ.ศ. 2518 ถึง 2531 คนรวยที่สุด 20% สามารถเพิ่มสัดส่วนทรัพย์สินชาติที่ตนเองยึดครองจาก 43% ไปเป็น 55.4% ในขณะที่สัดส่วนทรัพย์สินของคนที่จนที่สุด 20% ลดลงเหลือแค่ 4.5% (วรวิทย์ กับ ธีรนาถ 2541) และในปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้แย่ที่สุดเป็นอันดับห้าของโลก

การวิเคราะห์ 6 ตุลา จากแนวทางมาร์คซิสต์

        ทฤษฎีมาร์คซ์สามารถช่วยให้เราเข้าใจเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ได้โดยใช้ประเด็นแนวคิดดังต่อไปนี้ (มาร์คซ์ กับ เองเกิลส์ 2541)

1 ประวัติศาสตร์มนุษย์คือการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างผู้กดขี่กับผู้ที่ถูกกดขี่ และการต่อสู้นี้กำเนิดจากความขัดแย้งในระบบการผลิตของแต่ละยุคแต่ละสมัย ดังนั้นประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมจึงเกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางชนชั้นในยุคทุนนิยม

2 ประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมคือประชาธิปไตยครึ่งใบ เนื่องจากนายทุนคุมปัจจัยการผลิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจในรูปแบบเผด็จการผูกขาด ฉะนั้นการต่อสู้เพื่อระบบสังคมนิยมที่ยึดปัจจัยการผลิตมาเป็นของส่วนรวมโดยมีเป้าหมายผลิตเพื่อตอบสนองคนส่วนใหญ่ เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุด

3 การต่อสู้เพื่อสังคมนิยมต้องมาจากการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพเอง จากล่างสู่บน คนอื่นปลดปล่อยกรรมาชีพไม่ได้ และกรรมาชีพสมัยใหม่คือลูกจ้างทั้งหมดที่ไร้ปัจจัยการผลิต ไม่ว่าจะปกคอขาวหรือน้ำเงิน

4 ถ้าพิจารณาทุกสังคมในยุคปัจจุบันทั่วทั้งโลก สภาพของชนบทขึ้นอยู่กับการต่อสู้ในเมือง ไม่ใช่ว่าการต่อสู้ในชนบทจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเมือง

14 ตุลาคม 2516 คือการปฏิวัติ หรืออุบัติเหตุ ?

        สำหรับนักวิชาการฝ่ายขวา เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเพียง “อุบัติเหตุทางประวัติศาสตร์” เพราะเขามองประวัติศาสตร์ว่าเป็นสิ่งที่คนชั้นสูงทำ หรือ เขามองว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมาจากการพัฒนาสถาบันทางการเมืองหรือการปฏิรูปการปกครอง ส่วนเหล่าผู้น้อยทั้งหลาย ในสังคมคงจะ ไม่มีปัญญาอะไรที่จะเปลี่ยนสังคมได้

        ถ้าเราจะเข้าใจ 6 ตุลาคม 2519 เราต้องเริ่มที่ 14 ตุลาคม 2516 เพราะเหตุการณ์การต่อสู้ของมวลชนในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนชั้นล่าง เนื่องจากคนไทยนับเป็นแสนออกมาประท้วงและล้มเผด็จการทหารจนสำเร็จ ปรากฏการณ์อันนี้ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับทฤษฎี “รัฐข้าราชการ” ของ ริกซ์ (Riggs 1966) นักวิชาการฝ่ายขวาสหรัฐจากทศวรรษ 1950 ที่เสนอว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยในสมัยนั้นไม่สนใจและไม่มีส่วนร่วมทางการเมือง

        ในปัจจุบันยังมีนักวิชาการไทยบางคนที่ยึดติดกับแนวคิด “รัฐข้าราชการ” เช่น ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2530) ที่พูดถึง “วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทยที่หนีไม่พ้นจากเผด็จการทหาร สาเหตุหนึ่ง ที่นักวิชาการบางคนไม่ให้ความสำคัญกับการต่อสู้ของมวลชนชั้นล่าง ก็เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเปิดเผยตลอดเวลา และไม่ใช่การมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบ “อุดมคติ”  ของนักรัฐศาสตร์ กลไกที่ให้ความสำคัญกับโครงสร้าง  และสถาบันทางการเมือง  สำหรับเขาการมีส่วนร่วมทางการเมืองคือการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือ การลงคะแนนเสียงในวันเลือกตั้ง ไม่ใช่การออกมาประท้วงในท้องถนน แน่นอน นักวิชาการสำนักฝ่ายขวาแบบนี้ จะไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการสำนักมาร์คซิสต์ ที่ให้ความสำคัญกับการต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งตามที่มาร์คซ์กับเองเกิลส์(2541)  ได้เขียนไว้ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ว่า

“ ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ล้วนแต่เป็นประวัติศาสตร์แห่งการ
ต่อสู้ทางชนชั้น ... ผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่ต่างอยู่ในฐานะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันตลอดเวลา”

        นักวิชาการบางคน เช่น เอนก   เหล่าธรรมทัศน์ (2536) ที่เลิกยึดติดกับแนวคิดรัฐข้าราชการในการวิเคราะห์การเมืองไทยหลัง  14 ตุลาคม 2516 อาจยอมรับว่าประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น แต่จะให้ความสำคัญกับนักศึกษากลุ่มเดียวแทนที่จะพูดถึงคนงานกรรมาชีพ และในช่วงหลังๆ จะมีการพูดว่านักศึกษาเป็นคนชั้นกลางด้วย ซึ่งถ้าอ่านบทความหนังสือพิมพ์จากสมัย 14  ตุลาคมจะไม่พูดถึงชนชั้นกลางเลย แนวนี้ได้พัฒนาไปเป็นแนว “ประชาสังคม”  ซึ่งมีข้อเสนอว่ากลุ่มต่างๆ ในสังคม โดยเฉพาะชนชั้นกลาง เวลาออกมาเรียกร้องผลประโยชน์ สามารถคานอำนาจรัฐได้ ซึ่งจะทำให้รัฐไม่เข้าข้างกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะในรูปแบบพหุนิยม

        ในความจริงเราต้องมองว่ากระแสการต่อสู้ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม เป็นกระแสที่เกิดขึ้น จากการพัฒนาพลังการผลิตแบบทุนนิยม ภายใต้เผด็จการทหาร การพัฒนาพลังการผลิตดังกล่าว  มีผลทำให้ชนชั้นกรรมาชีพไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะมีการดึงชาวนาจากชนบท มาเป็นแรงงานในเมือง  นอกจากนี้แล้วการพัฒนาของระบบทุนนิยม ยังมีผลให้ระบบการศึกษาขยายตัวด้วย  จำนวนนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยได้เพิ่มขึ้นจาก 15,000 คน ไปเป็น 50,000 คนภายในเวลาแค่ 9 ปี  และที่สำคัญคือสัดส่วนนักศึกษาที่เป็นลูกกรรมาชีพเพิ่มขึ้นเป็น 46% (Prudhisan 1987) การสร้างมหาวิทยาลัยรามคำแหงในปี 2512 คงจะมีผลตรงนี้

        นอกจากเงื่อนไขของพลังการผลิตแล้ว อีกเงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญ  คือความขัดแย้งทางชนชั้นที่เกิดขึ้นในยุควิกฤตเศรษฐกิจโลกภายหลัง“ยุคทอง” ที่ตามหลังการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง การเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจของระบบโลกปลายทศวรรษ 1960  มีผลทำให้เกิดการกบฏครั้งยิ่งใหญ่ ในฝรั่งเศส นักศึกษาจุดประกายที่นำไปสู่การนัดหยุดงานครั้งใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1968  ในสหรัฐคนผิวดำลุกขึ้นสู้เพื่อปลดปล่อยตนเอง และ ผู้ที่ต่อต้านสงครามเวียดนาม ได้สร้างแนวร่วมกับกองทัพปลดแอกเวียดนาม จนสหรัฐต้องยอมแพ้ในการทำสงครามกับประเทศด้อยพัฒนา อย่างเวียดนาม สิ่งเหล่านี้  สร้างกระแสการปลดปล่อยทางการเมืองที่มีผลกระทบกับความคิดของคนหนุ่มสาวในไทย เป็นอย่างมาก  และภาวะทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายของกรรมาชีพ ที่ต้องทนค่าจ้างขั้นต่ำในระดับประมาณ 10 บาทต่อวันมาเกือบ 20 ปี (สังศิต 2529)  มีผลในการสร้างกระแสการต่อสู้ที่นำไปสู่ 14 ตุลาคม 2516

        คนงานกรรมาชีพมีส่วนสำคัญในการสร้างกระแสการต่อสู้ดังกล่าว  ในยุคเผด็จการทหารการนัดหยุดงานเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ปรากฏว่าระหว่างปี 2508 ถึง 2514 มีการนัดหยุดงาน 113 ครั้ง   และในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคมปี 2516 ก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม มีการนัดหยุดงานเพิ่มขึ้นถึง 40 ครั้ง กรณีหนึ่งที่โรงงานผลิตเหล็กกล้ามีการหยุดงานยาวนานถึงหนึ่งเดือนจนได้รับชัยชนะ  (Mabry 1979) สาเหตุสำคัญที่ทำให้การต่อสู้เมื่อ 14 ตุลาคมได้รับชัยชนะในการล้มเผด็จการถนอม-ประภาส-ณรงค์  ก็เพราะประชาชนกรรมาชีพในเมืองออกมาช่วยนักศึกษาเป็นหมื่นเป็นแสน

        นักวิชาการสำนัก “ประชาสังคม”  ที่ปฏิเสธเรื่องความขัดแย้งทางชนชั้น มักจะเสนอว่านักศึกษาหรือคนชั้นกลางเป็นผู้เคลื่อนไหวในวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งมีผลในการเปิดโอกาสให้คนชั้นล่าง ที่ไม่รู้จักสู้เองได้มีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ในช่วงหลังจากนั้น ทั้งนี้เพราะสำนักแนวความคิดนี้ ไม่เชื่อว่าคนชั้นล่างทำอะไรเพื่อตัวเองได้  และมักมองข้ามการต่อสู้ทางชนชั้นของกรรมาชีพ และชาวนาเสมอ แต่สำนักมาร์คซิสต์ มองว่าชนชั้นล่างมีส่วนสำคัญในการปลดแอกตนเองจากเผด็จการทหาร  และเรามักจะมองว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยภายใต้ระบบทุนนิยม แยกออกจาการต่อสู้ทางชนชั้น เพื่อผลประโยชน์ปากท้องไม่ได้

            อ่านต่อหน้าที่ 2

กลับไป หน้าแรก