|
ใจ
อึ๊งภากรณ์
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สิ่งที่ผู้นำแรงงานอาวุโสคนนี้พูดน่าจะตรงกับความเป็นจริง เพราะไม่มี พรรคการเมืองไหน ไม่มีสถาบันไหน ไม่มีองค์กรไหนของชนชั้นปกครองไทย ที่มือไม่เปื้อนเลือดจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ถึงแม้ว่าในยุคนี้ ชนชั้นปกครองไทยอาจดูเหมือนแบ่งเป็นหลายฝ่าย หลายพรรค ที่ต่างแย่งชิงผลประโยชน์กัน แต่ในช่วงก่อน 6 ตุลาคม 2519 เขาเห็นพ้องกันในเรื่องหนึ่ง นั้นคือทุกคนต้องการยับยั้ง และทำลายกระบวนการการต่อสู้ของชนชั้นล่าง และนักศึกษาที่กำลังจะนำเราไปสู่การปรับปรุงสังคมไทยเพื่อให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น
ถึงแม้ว่าในหมู่ชนชั้นปกครองไทยสมัย 6 ตุลาคม 2519 อาจมีกลุ่มอนุรักษ์นิยมยุคหินตกขอบ ที่เข้ามาถืออำนาจในระยะสั้นหลังการทำรัฐประหาร แต่เสียงส่วนใหญ่ในหมู่ชนชั้นปกครองไทย ฉลาดพอที่จะรู้ว่าการปกครองแบบเผด็จการหลังยุค 14 ตุลาคม 2516 คงจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเขามากนัก (วิทยากร 2541) ตรงกันข้ามอาจสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งทางสังคมมากขึ้นด้วยซ้ำ
ดังนั้นผู้นำรัฐหัวก้าวหน้าหลายคนจึงพยายามพาสังคมไทยไปสู่ประชาธิปไตยอีกครั้ง แต่เป็นประชาธิปไตยในรูปแบบที่ชนชั้นปกครองต้องการ ต่างจากประชาธิปไตยในช่วงระหว่าง 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 คือเป็นประชาธิปไตยที่ขาดการเรียกร้องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ผลที่ได้มาก็ชัดเจน หลัง 6 ตุลาคม 2519 สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ไปเป็นกำไรสำหรับนายทุนเพิ่มขึ้น 23% (Glassman 1999) ระหว่าง พ.ศ. 2518 ถึง 2531 คนรวยที่สุด 20% สามารถเพิ่มสัดส่วนทรัพย์สินชาติที่ตนเองยึดครองจาก 43% ไปเป็น 55.4% ในขณะที่สัดส่วนทรัพย์สินของคนที่จนที่สุด 20% ลดลงเหลือแค่ 4.5% (วรวิทย์ กับ ธีรนาถ 2541) และในปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้แย่ที่สุดเป็นอันดับห้าของโลก
การวิเคราะห์ 6 ตุลา จากแนวทางมาร์คซิสต์
ทฤษฎีมาร์คซ์สามารถช่วยให้เราเข้าใจเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ได้โดยใช้ประเด็นแนวคิดดังต่อไปนี้ (มาร์คซ์ กับ เองเกิลส์ 2541)
1 ประวัติศาสตร์มนุษย์คือการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างผู้กดขี่กับผู้ที่ถูกกดขี่ และการต่อสู้นี้กำเนิดจากความขัดแย้งในระบบการผลิตของแต่ละยุคแต่ละสมัย ดังนั้นประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมจึงเกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางชนชั้นในยุคทุนนิยม
2 ประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมคือประชาธิปไตยครึ่งใบ เนื่องจากนายทุนคุมปัจจัยการผลิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจในรูปแบบเผด็จการผูกขาด ฉะนั้นการต่อสู้เพื่อระบบสังคมนิยมที่ยึดปัจจัยการผลิตมาเป็นของส่วนรวมโดยมีเป้าหมายผลิตเพื่อตอบสนองคนส่วนใหญ่ เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุด
3 การต่อสู้เพื่อสังคมนิยมต้องมาจากการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพเอง จากล่างสู่บน คนอื่นปลดปล่อยกรรมาชีพไม่ได้ และกรรมาชีพสมัยใหม่คือลูกจ้างทั้งหมดที่ไร้ปัจจัยการผลิต ไม่ว่าจะปกคอขาวหรือน้ำเงิน
4 ถ้าพิจารณาทุกสังคมในยุคปัจจุบันทั่วทั้งโลก สภาพของชนบทขึ้นอยู่กับการต่อสู้ในเมือง ไม่ใช่ว่าการต่อสู้ในชนบทจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเมือง
14 ตุลาคม 2516 คือการปฏิวัติ หรืออุบัติเหตุ ?
สำหรับนักวิชาการฝ่ายขวา เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเพียง อุบัติเหตุทางประวัติศาสตร์ เพราะเขามองประวัติศาสตร์ว่าเป็นสิ่งที่คนชั้นสูงทำ หรือ เขามองว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมาจากการพัฒนาสถาบันทางการเมืองหรือการปฏิรูปการปกครอง ส่วนเหล่าผู้น้อยทั้งหลาย ในสังคมคงจะ ไม่มีปัญญาอะไรที่จะเปลี่ยนสังคมได้
ถ้าเราจะเข้าใจ 6 ตุลาคม 2519 เราต้องเริ่มที่ 14 ตุลาคม 2516 เพราะเหตุการณ์การต่อสู้ของมวลชนในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนชั้นล่าง เนื่องจากคนไทยนับเป็นแสนออกมาประท้วงและล้มเผด็จการทหารจนสำเร็จ ปรากฏการณ์อันนี้ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับทฤษฎี รัฐข้าราชการ ของ ริกซ์ (Riggs 1966) นักวิชาการฝ่ายขวาสหรัฐจากทศวรรษ 1950 ที่เสนอว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยในสมัยนั้นไม่สนใจและไม่มีส่วนร่วมทางการเมือง
ในปัจจุบันยังมีนักวิชาการไทยบางคนที่ยึดติดกับแนวคิด รัฐข้าราชการ เช่น ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2530) ที่พูดถึง วงจรอุบาทว์ ของการเมืองไทยที่หนีไม่พ้นจากเผด็จการทหาร สาเหตุหนึ่ง ที่นักวิชาการบางคนไม่ให้ความสำคัญกับการต่อสู้ของมวลชนชั้นล่าง ก็เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเปิดเผยตลอดเวลา และไม่ใช่การมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบ อุดมคติ ของนักรัฐศาสตร์ กลไกที่ให้ความสำคัญกับโครงสร้าง และสถาบันทางการเมือง สำหรับเขาการมีส่วนร่วมทางการเมืองคือการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือ การลงคะแนนเสียงในวันเลือกตั้ง ไม่ใช่การออกมาประท้วงในท้องถนน แน่นอน นักวิชาการสำนักฝ่ายขวาแบบนี้ จะไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการสำนักมาร์คซิสต์ ที่ให้ความสำคัญกับการต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งตามที่มาร์คซ์กับเองเกิลส์(2541) ได้เขียนไว้ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ว่า
ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ล้วนแต่เป็นประวัติศาสตร์แห่งการ
ต่อสู้ทางชนชั้น
...
ผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่ต่างอยู่ในฐานะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันตลอดเวลา
นักวิชาการบางคน เช่น เอนก เหล่าธรรมทัศน์ (2536) ที่เลิกยึดติดกับแนวคิดรัฐข้าราชการในการวิเคราะห์การเมืองไทยหลัง 14 ตุลาคม 2516 อาจยอมรับว่าประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น แต่จะให้ความสำคัญกับนักศึกษากลุ่มเดียวแทนที่จะพูดถึงคนงานกรรมาชีพ และในช่วงหลังๆ จะมีการพูดว่านักศึกษาเป็นคนชั้นกลางด้วย ซึ่งถ้าอ่านบทความหนังสือพิมพ์จากสมัย 14 ตุลาคมจะไม่พูดถึงชนชั้นกลางเลย แนวนี้ได้พัฒนาไปเป็นแนว ประชาสังคม ซึ่งมีข้อเสนอว่ากลุ่มต่างๆ ในสังคม โดยเฉพาะชนชั้นกลาง เวลาออกมาเรียกร้องผลประโยชน์ สามารถคานอำนาจรัฐได้ ซึ่งจะทำให้รัฐไม่เข้าข้างกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะในรูปแบบพหุนิยม
ในความจริงเราต้องมองว่ากระแสการต่อสู้ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม เป็นกระแสที่เกิดขึ้น จากการพัฒนาพลังการผลิตแบบทุนนิยม ภายใต้เผด็จการทหาร การพัฒนาพลังการผลิตดังกล่าว มีผลทำให้ชนชั้นกรรมาชีพไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะมีการดึงชาวนาจากชนบท มาเป็นแรงงานในเมือง นอกจากนี้แล้วการพัฒนาของระบบทุนนิยม ยังมีผลให้ระบบการศึกษาขยายตัวด้วย จำนวนนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยได้เพิ่มขึ้นจาก 15,000 คน ไปเป็น 50,000 คนภายในเวลาแค่ 9 ปี และที่สำคัญคือสัดส่วนนักศึกษาที่เป็นลูกกรรมาชีพเพิ่มขึ้นเป็น 46% (Prudhisan 1987) การสร้างมหาวิทยาลัยรามคำแหงในปี 2512 คงจะมีผลตรงนี้
นอกจากเงื่อนไขของพลังการผลิตแล้ว อีกเงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญ คือความขัดแย้งทางชนชั้นที่เกิดขึ้นในยุควิกฤตเศรษฐกิจโลกภายหลังยุคทอง ที่ตามหลังการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง การเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจของระบบโลกปลายทศวรรษ 1960 มีผลทำให้เกิดการกบฏครั้งยิ่งใหญ่ ในฝรั่งเศส นักศึกษาจุดประกายที่นำไปสู่การนัดหยุดงานครั้งใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1968 ในสหรัฐคนผิวดำลุกขึ้นสู้เพื่อปลดปล่อยตนเอง และ ผู้ที่ต่อต้านสงครามเวียดนาม ได้สร้างแนวร่วมกับกองทัพปลดแอกเวียดนาม จนสหรัฐต้องยอมแพ้ในการทำสงครามกับประเทศด้อยพัฒนา อย่างเวียดนาม สิ่งเหล่านี้ สร้างกระแสการปลดปล่อยทางการเมืองที่มีผลกระทบกับความคิดของคนหนุ่มสาวในไทย เป็นอย่างมาก และภาวะทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายของกรรมาชีพ ที่ต้องทนค่าจ้างขั้นต่ำในระดับประมาณ 10 บาทต่อวันมาเกือบ 20 ปี (สังศิต 2529) มีผลในการสร้างกระแสการต่อสู้ที่นำไปสู่ 14 ตุลาคม 2516
คนงานกรรมาชีพมีส่วนสำคัญในการสร้างกระแสการต่อสู้ดังกล่าว ในยุคเผด็จการทหารการนัดหยุดงานเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ปรากฏว่าระหว่างปี 2508 ถึง 2514 มีการนัดหยุดงาน 113 ครั้ง และในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคมปี 2516 ก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม มีการนัดหยุดงานเพิ่มขึ้นถึง 40 ครั้ง กรณีหนึ่งที่โรงงานผลิตเหล็กกล้ามีการหยุดงานยาวนานถึงหนึ่งเดือนจนได้รับชัยชนะ (Mabry 1979) สาเหตุสำคัญที่ทำให้การต่อสู้เมื่อ 14 ตุลาคมได้รับชัยชนะในการล้มเผด็จการถนอม-ประภาส-ณรงค์ ก็เพราะประชาชนกรรมาชีพในเมืองออกมาช่วยนักศึกษาเป็นหมื่นเป็นแสน
นักวิชาการสำนัก ประชาสังคม ที่ปฏิเสธเรื่องความขัดแย้งทางชนชั้น มักจะเสนอว่านักศึกษาหรือคนชั้นกลางเป็นผู้เคลื่อนไหวในวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งมีผลในการเปิดโอกาสให้คนชั้นล่าง ที่ไม่รู้จักสู้เองได้มีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ในช่วงหลังจากนั้น ทั้งนี้เพราะสำนักแนวความคิดนี้ ไม่เชื่อว่าคนชั้นล่างทำอะไรเพื่อตัวเองได้ และมักมองข้ามการต่อสู้ทางชนชั้นของกรรมาชีพ และชาวนาเสมอ แต่สำนักมาร์คซิสต์ มองว่าชนชั้นล่างมีส่วนสำคัญในการปลดแอกตนเองจากเผด็จการทหาร และเรามักจะมองว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยภายใต้ระบบทุนนิยม แยกออกจาการต่อสู้ทางชนชั้น เพื่อผลประโยชน์ปากท้องไม่ได้