พระศิวะ

พระศิวะ
พระพิฆเนศ
รูปภาพ
ผู้จัดทำ

ศิวลึงค์

บริวาร-กันนัปปะ

กันนัปปะ ผู้สละดวงตาถวายพระศิวะเทพ

เรื่องราวของกันนัปปะได้ถูกบันทึกไว้ใน เปริยะ ปุราณะ จารึกด้วยภาษาทมิฬทางภาคใต้ของอินเดีย พราน นคัน เป็นหัวหน้าเผ่าเชื้อสายอุคุปุระ ผู้กราบไหว้บูชาต่อขันธกุมาร ทั้งยังเป็นหัวหน้าในการนำสวดบูชาสรรเสริญพระเจ้าอีกด้วยการสวดมนตร์อ้อนวอนบูชาเพื่อให้อาชีพของชนเผ่าไม่มีอุปสรรคใด ๆมากีดขวางทุกเช้าพราน นคันจะนำสมัครพรรคพวกออกนอกหมู่บ้านเพื่อล่าสัตว์ แต่จะล่าเพียงสัตว์ใหญ่ที่อาจนำอันตรายมาสู่มนุษย์เท่านั้น พอตกค่ำก็เดินทางกลับบ้านอยู่กินกับภรรยาอย่างสงบภายใต้เรือนพักที่ไม่ได้ใหญ่โตนัก

ความทุกข์ประการเดียวของพรานหนุ่มคือ ไม่มีลูกสืบเชื้อสายของตระกูลดังนั้นต่อมาจึงได้ประกอบพิธีกรรมบูชาต่อเทพประจำหมู้บ้าน เพื่อขอให้โปรดประทานบุตรมาให้กับครอบครัวของตน ต่อมาพรานหนุ่มสมปรารถนา ภรรยาได้ให้กำเนิดลูกชายรูปร่างสมบูรณ์ และตั้งชื่อให้ว่า ตินนัน

เด็กตินนันเติบโตอย่างรวดเร็ว แค่อายุ 8 ขวบก็สามารถออกล่าสัตว์ด้วยตนเองเพียงลำพัง ทั้งบิดายังนำลูกชายผู้นี้ไปฝากฝังกับผู้เชี่ยวชาญในด้านการใช้อาวุธและความรู้ในแขนงอื่นๆจนเกิดความรู้แตกฉาน

วันหนึ่งพรานตินนันได้ออกล่าสัตว์ตามปกติ และได้มีโอกาสเดินทางไปยังเชิงเขา ณ ที่นั้นเขาได้พบวิหารของพระศิวะ ด้วยความปิติ เขาจึงตรงเข้าไปยังวิหาร ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่พราหมณ์ผู้ดูแลวิหารไม่อยู่ เขาพบแท่นศิวลึงค์ อันเป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะประทับอยู่กลางวิหารพร้อม ๆกันนั้น เขาได้ปารวนาตนรับใช้พระศิวะพระศิวะตลอดกาล ด้วยการหาดอกไม้เท่าที่หาได้ในวันนั้นมาสักการะ ส่วนเรื่องอาหารนั้น เขาไม่ทราบว่าจะหาได้อย่างไร จึงตัดสินใจเลือกเอาเนื้อที่ล่าได้ นำออกมาคัดสรรก้อนที่ดีที่สุดเพื่อนำมาถวายต่อพระศิวะด้วยจิตอันบริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง พอได้เวลาอันสมควรจึงลากลับบ้าน และสัญญากับพระองค์ว่าจะมาถวายดอกไม้และอาหารทุกวัน

พอพราหมณ์ประจำวิหารกับมา พบเห็นก้อนเนื้อที่วางอยู่บนศิวลึงค์ซึ่งผิดประเพณีการบูชาจึงก่นด่าผู้ที่นำของอัปมงคลแบบนี้มาถวาย พร้อมกับชำระล้างเทวาลัยเป็นการใหญ่

วันรุ่งขึ้นเรื่องก็ดำเนินไปเหมือนวันแรก เหตุการณ์ทั้งหมดไม่อาจรอดพ้นสายตาของพระศิวะเทพไปได้ พระนางปราวตีทรงบังเกิดความสงสัย จึงทูลถามสวามีว่า

"ข้าแต่เทวะ ระหว่างผู้บูชาพระองค์ทั้ง 2 คนนี้ คนหนึ่งคือพราหมณ์ผู้อุทิศชีวิตเพื่อการกราบไหว้บูชาพระองค์ เฝ้าดูแลวิหารให้สะอาด ปราศจากสิ่งอันไม่เป็นมงคลทั้งปวง กับ นายพรานผู้มีอาชีพล่าสัตว์ ทำลายชีวิตผู้อื่น และนำเนื้อสัตว์มาถวายบูชา ซึ่งผิดประเพณีในการกราบไหว้เทพ คน 2 คนนี้ ใครเล่าเป็นผู้ภักดีในพระเป็นเจ้าที่แท้จริง"
"เทวี....เราจะพิสูจน์ความภักดีด้วยศิวะมายา ขอให้พระนางเฝ้าดูต่อไปเถิด"

เหตุการณ์ดำเนินมาถึงวันที่ 6 เมื่อพราหมณ์ผู้เฝ้าวิหารกลับมาปรากฏว่าที่ศิวลึงค์บังเกิดดวงตาขึ้นมาคู่หนึ่ง พราหมณ์หนุ่มคิดว่าเป็นบุญบารมีขององค์เทวะที่ต้องการแสดงพระองค์ให้ตนเห็น แต่กลับมิได้มีเพียงแค่นั้น ตาข้างซ้ายมีหยาดโลหิตไหลออกมาไม่หยุด จึงคิดในใจว่า เหตุไฉนจึงเกิดเหตุอาเพทเช่นนี้เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน ชะรอยว่าพระองค์คงปรารถนาดวงตามาแทนที่พอคิดเช่นนี้ก็ตกใจกลัวที่ตัวเองต้องสูญเสียดวงตาสิ่งหวงแหนที่สุดในชีวิตให้แก่ศิวะเทพจึงเก็บข้าวของหนีออกจากวิหารศิวะเทพในทันที

เป็นจังหวะเดียวกับที่พรานตินนันเข้ามาสักการะบูชาศิวลึงค์ตามปกติเพื่อพรานหนุ่มเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็คิดว่า

"ใครเล่าเป็นผู้ทำให้พระองค์ทรงทรมานเช่นนี้ ขออย่าได้วิตกอันใดเลยเทวะ ข้าพเจ้าจะหายามารักษาความเจ็บปวดทรมานเอง"

ว่าแล้วพรานหนุ่มก็เที่ยวไปหายาสมุนไพรตามความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา นำสรรพสมุนไพรมาบดเป็นตัวยาชโลมลงที่ดวงตาเทวะที่มีเลือดไหลออกมา แต่ด้วยศิวะมายา ทำให้เลือดก็ยังคงไหลอยู่เช่นนั้น

"ข้าแต่เทวะขอจงบอกข้าพเจ้าเถิดว่า มียาวิเศษใดในทั่วสามหล้าที่จะระงับความทรมานแห่งพระองค์ได้ ข้าพเจ้าพร้อมที่เที่ยวเสาะหามาถวายแด่พระองค์ข้าแต่เทวะ ข้าพเจ้าจะมอบดวงตาของข้าพเจ้านี้แทน อาจจะเป็นหนทางทำให้พระองค์หายจากการทรมานในครั้งนี้ "

ว่าแล้วพรานหนุ่มก็เลยคว้าเอาลูกธนูและใช้ปลายแหลมนั้นควักดวงตาข้างซ้ายออกมาถวายพระศิวะ ปรากฏว่าเลือดที่ตาซ้ายหยุดไหลทันที แต่กลับมาไหลที่ข้างขวาแทน เมื่อพรานหนุ่มทราบประสงค์ขององค์เทวะดั่งนี้ จึงเตรียมควักตาขวาถวายอีกข้างหนึ่ง

ทันใดนั้นพระศิวะเทพได้ปรากฏร่างขึ้นตรงหน้าพรานหนุ่ม และทรงกล่าวแก่พรานหนุ่มผู้ภักดีว่า

"จงหยุดการกระทำเช่นนี้เสีย คนทั้งหลายบูชาข้าเพียงต้องการให้ข้าปรากฏกายให้เห็น มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยอมสละดวงตาให้แก่ข้า แล้วเจ้าจะเห็นข้าได้อย่างไรล่ะ ข้ายินดีต่อการกราบไหว้บูชาของเจ้าที่ยอมเสียสิ่งอันเป็นที่รักบูชาแก่ข้า ข้าจะคืนดวงตาแก่เจ้า "หลังจากที่พระศิวะเทพทรงประทานพรอันยิ่งใหญ่แล้วทรงตรัสแก่พรานหนุ่มว่า

"บัดนี้ข้าจะตั้งชื่อใหม่ให้แก่เจ้า กันนัปปะ (ผู้ที่ยอมถวายดวงตาเป็นเครื่องบูชา)เจ้าเป็นบุคคลซึ่งจะหาใครเปรียบในโลกมิได้แล้ว ขอให้เจ้าไปอยู่รับใช้ข้า ณ เขาไกรลาศ จงมาเป็นคณะบริวารคนหนึ่งของข้า เจ้าจะพบข้าได้ทุกคราวเพียงเมื่อเจ้าตั้งใจระลึกถึงข้าเท่านั้น ข้าจะปรากฏกายต่อหน้าเจ้าทันที"

เรื่องนี้มีอุทาหรณ์ที่น่าสนใจมาก เพราะแม้ว่าพรานหนุ่มจะบูชาศิวลึงค์ด้วยก้อนเนื้อซึ่งผิดประเพณี แต่เป็นการบูชาด้วยจิตอันสักการะสูงสุด ซึ่งในแง่ของผลบุญนั้นถือว่าได้เทียบเท่ากับผู้ราดรดศิวลึงค์ด้วยน้ำนมและน้ำบริสุทธิ์เช่นกันและที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ การยอมถวายเรือนกายเพื่อการบูชา ถือว่า ได้บุญสูงสุดฉะนั้นจึงเป็นคำตอบว่าการบูชาเทพนั้น ต้องกระทำด้วยจิตที่บริสุทธิ์ เท่านั้น แล้วจะสัมฤทธิ์ผล