... MORE INFORMATION... 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาษีอากร

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ภาษีธุรกิจเฉพาะ

 

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

หลักการ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่เก็บจากเงินได้ของบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล หรือกองมรดกที่ยังไม่แบ่ง โดยเก็บจากเงินได้ทุกชนิดไม่ว่าจะได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เว้นแต่เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีตามกฎหมาย การคำนวณภาษีกำหนดตามปีประดิทิน กฎหมายกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายได้ในรูปแบบต่าง ๆ กันตามประเภทเงินได้ และยังกำหนดให้หักค่าลดหย่อนต่าง ๆ ได้อีกเพื่อเป็นการทุเลาภาระภาษีเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้วถือเป็นเงินได้สุทธินำไปคำนวณ ภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ ซึ่งมีอัตราก้าวหน้าเริ่มจากร้อยละ 5 จนถึงร้อยละ 37 ของเงินได้สุทธิ

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

หลักการ ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จัดเก็บตามประมวลรัษฎากร มีหลักการจัดเก็บจากกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการหรือเนื่องจากการประกอบกิจการของบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี (ตามปกติมีกำหนด 12 เดือน) นอกจากวิธีการจัดเก็บตามหลักการดังกล่าว ยังมีวิธีการจัดเก็บภาษีโดยวิธีอื่นอีก คือ เก็บจากยอดรายรับหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือเก็บจากค่าโดยสาร ค่าระวางฯ ของกิจการขนส่งระหว่างประเทศ หรือเก็บจากการจำหน่ายกำไรไปต่างประเทศ ฯลฯ เป็นต้น            ส่วนวิธีการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจะต้องคำนวณตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ เพื่อรัฐจะได้กำกับดูแูลการคำนวณกำไรสุทธิที่พึงต้องเสียภาษีให้เหมาะสมเป็นธรรม ระหว่างผู้เสียภาษีกับรัฐ ฉะนั้น กำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางบัญชี (Accounting Profit or Loss)  ที่คำนวณตามวิธีการทางบัญชีในแต่ละรอบ ระยะเวลาบัญชี  อาจแตกต่างจากกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางภาษี (Taxable Profit or Taxable Loss) ซึ่งเป็นการคำนวณจากรายได้หักด้วยรายจ่ายของกิจการเช่นเดียวกับวิธีการคำนวณทางบัญชี แต่รายได้และรายจ่ายนั้น จะต้องเป็นรายได้และรายจ่ายที่กฎหมายกำหนดเงื่อนไขไว้ เช่น รายได้จำนวนใดต้องนำมาคำนวณเป็นรายได้ หรือรายจ่ายใดที่จะหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ รายจ่ายใดหักเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้ ด้วยเงื่อนไขดังกล่าวรายได้และรายจ่ายที่ต้องคำนวณ ตามเงื่อนไขทางภาษีจึงอาจแตกต่างจากรายได้และรายจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง และลงรายการทางบัญชีไว้ผลต่างนี้เอง ที่เป็นข้อแตกต่างของกำไรสุทธิ หรือขาดทุนสุทธิทางบัญชีกับกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ทางภาษีอากร

                กำไรสุทธิทางภาษี เมื่อเสียภาษีเงินได้ตามอัตราภาษี และมีการจ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไร บุคคลผู้รับเงินปันผลที่มีภูมิลำเนา ในประเทศไทยมีสิทธิได้เครดิตภาษีด้วย

            นอกจากหลักการดังกล่าวข้างต้นแล้วประมวลรัษฎากรยังได้กำหนดให้มีการเก็บภาษีเงินได้    จากนิติบุคคลประเภทมูลนิธิและสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่ง มีรายได้อีกด้วย โดยเก็บจากรายได้ของมูลนิธิและสมาคมที่ได้รับในลักษณะประกอบกิจการหารายได้ (Unrelated Profit) ส่วนรายได้ที่เป็นค่าลงทะเบียน ค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิก หรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาค หรือจากการให้โดยเสน่หา ไม่ต้องนำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

หลักการ ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่จัดเก็บจากการบริโภค โดยผู้ที่รับภาระภาษีขั้นสุดท้าย ได้แก่ ผู้บริโภค ประเทศไทยเริ่มนำมาใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 และตั้งแต่เริ่มนำมาใช้บังคับ มีการปรับเปลี่ยนอัตราภาษีมาแล้ว 3 ครั้ง คือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2534 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2540 เก็บในอัตราร้อยละ 7.0 ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2540 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2542 จัดเก็บในอัตราร้อยละ 10.0 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2545 เก็บในอัตราร้อยละ 7.0 และตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2545 จะจัดเก็บในอัตราร้อยละ 10.0 ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้จัดเก็บอยู่ที่อัตราร้อยละ 7.0 เนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาออกมากำหนดให้ใช้อัตราร้อยละ 7.0 ไปจนถึง 30 กันยายน 2546 (การลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถลดอัตราในช่วงเวลาใดก็ได้โดยออกพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องติดตามอยู่เสมอ)

ภาษีธุรกิจเฉพาะ

หลักการ  ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax) เป็นภาษีที่จัดเก็บจากการบริโภคเฉพาะอย่าง ซึ่งกิจการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจะไม่ถูกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้นกิจการที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะจึงเป็นกิจการที่คำนวณมูลค่าเพิ่มของการขายสินค้าหรือการให้บริการได้ยาก จึงจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะแทน

 

<<< PREVIOUS

NEXT >>>       

HOME ABOUT US CONTACT SERVICES

CONTACT US OR WEB MASTER : CLICK HERE