EVE Burst Error
ภาค โคะจิโร่
วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 19xx
(กลางคืน)

เชลย


ใช่ครับ ภาพที่ปรากฏ เป็นภาพของหญิงสาวที่ผมรู้
จักดีถูกผูกโยงข้อมือทั้งสองข้างและห้อยตัวอยู่
กลางอากาศ อะคะเนะนั่นเอง หล่อนอยู่ในชุดเสื้อ
กระโปรงซึ่งผมไม่เห็นบ่อยนัก แต่นั่นไม่ใช่เรื่อง
สำคัญเพราะสภาพตอนนี้ ชุดที่หล่อนสวมใส่อยู่
แทบจะไม่คงสภาพเดิมให้เห็นเมื่อมันเต็มไปด้วย
รอยขาดกระรุ่งกระริ่งเป็นทางยาวอยู่ทั่วไป และมี
รอยสีแดงของโลหิตซึมเปราะเปรื้อนอยู่บริเวณรอย
ขาดเหล่านั้นซึ่งมีอยู่เกือบทั่วร่าง เมื่อประมวลเข้า
กับสีหน้าภาคภูมิใจของสมุนสาวเชฟอะร้าอร่าม
ของดีฟที่ถือแส้หนังสีดำเส้นยาวยืนอยู่ข้างโทรทัศน์
อยู่ตอนนี้ก็เดาได้ไม่ยากว่า อะคะเนะคงถูกทรมาน
โดยการใช้แส้เฆี่ยนตีจนยับไปทั้งตัว หากเป็นเพียง
แค่นั้นก็ยังดีแต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าของนักข่าวสาว
ซึ่งก้มต่ำลงจนทำให้สังเกตใบหน้าได้ไม่ชัด แต่ก็พอ
เห็นได้ว่า ใบหน้าของหล่อนก็ยับเยินไม่มีชิ้นดีพอ ๆ
กับช่วงลำตัว แว่นตาโตที่หล่อนสวมอยู่เสมอบัดนี้
หายไปไหนแล้วไม่รู้ แก้มทั้งสองข้างบวมเปล่ง ริมฝี
ปากพองเจ่อ ที่มุมปากข้างหนึ่งยังมีคราบโลหิต
เขอะกรังติดอยู่ แสดงให้เห็นว่า นอกจากแส้แล้ว คง
โดนซ้อมด้วยวิธีอื่นด้วย
“พวกแก” ผมหันขวับไปจ้องนายอ้วนดีฟอย่างจะ
กินเลือดกินเนื้อ แต่อีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องการเบน
สายตาหนีจากภาพอันโหดร้ายในจอโทรทัศน์นั่น
เอง “ทำไมโหดเหี้ยมอย่างนี้”
“หึ หึ หึ” ดีฟหัวเราะตอบอย่างสบอารมณ์และทำท่า
ถือไพ่เหนือผมอีกครั้งหนึ่ง “ถ้าพวกคุณยอมมอบ
ของสิ่งนั้นให้ผมดี ๆ ก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก ว่าไง
ครับ คุณอะมะกิ”
ผมอึ้ง จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะครับในเมื่อผมไม่มี
“ของสิ่งนั้น” อยู่ในมือนี่นา
“ฮึ มาริส ไปสนุกกับยัยนั่นอีกยกซิ” ดีฟไม่ทิ้งให้ผม
เงียบนานหันไปสั่งสาวซาดิสม์ที่ถือแส้อยู่ในมือทันที
ฝ่ายนั้นรับคำสั่งก็ทำท่าจะหันเดินออกไปทำให้ผม
ต้องรีบระล่ำระลักห้ามไว้
“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่ง”
“หึ หึ หึ ว่าไงครับ ตัดสินใจได้แล้วหรือ” ดีฟอ้วน
ถามอย่างข่มเต็มที่
ผมพยายามเค้นความคิดที่จะรักษาตัว-หรือจะพูด
ให้ถูกคือ ปกป้องอะคะเนะให้รอดไม่ต้องพบกับ
ความทารุณมากไปกว่านี้ ในที่สุดก็ลองต่อรองขึ้น
ว่า
“ให้ฉันได้เห็นอะคะเนะด้วยตาของฉันเองก่อนได้
ไหม”
“…” ดวงตาของดีฟทอประกายขัดใจขึ้นเล็กน้อย
แต่ก็ตอบว่า “นึกว่านั่นเป็น ‘ของปลอม’ รึไง”
“ฉันไม่เชื่อใจอะไรที่มองผ่านจอโทรทัศน์หรอก” ผม
ตอบ
“เอ้า ได้ ซิเรีย!” ดีฟตกลงในที่สุด ผมใจชื้นขึ้นที่จะ
ได้ทอดเวลาขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง รวมทั้งการที่มันเรียก
ซิเรียคงจะต้องการให้หล่อนเป็นคนควบคุมตัวผม
เวลาจะเดินย้ายไปยังห้องที่พันธนาการอะคะเนะไว้
ช่วงเวลานั้นผมอาจจะพลิกสถานการณ์สำเร็จก็ได้
แต่แล้วความหวังอันริบหรี่อยู่แล้วของผมก็ต้องพัง
ทลายเมื่อดีฟขัดขึ้นว่า “เอ ไม่ต้องแล้ว มาริส แกไม่
พายัยนั่นมาที่นี่ดีกว่า คุณอะมะกินั่งรออยู่ตรงนี้
แหละครับ”
ซิเรียซึ่งกำลังเดินมาทางผมชะงักไป สบตาผมด้วย
สายตาที่คล้ายจะบอกว่า “เสียใจด้วย” ก่อนที่จะ
ถอยกลับไปยืนข้างนายดีฟอีกที
ผมไม่กล้าสบตามองซิเรียให้มากกลัวว่าบุคคลที่
เหลือในห้องนั้นจะจับความนัยของเราสองคนได้
แต่ในใจก็ได้แต่สบถด่าความระมัดระวังตัวจนเกิน
ควรของเจ้าดีฟอย่างหัวเสีย
ไม่ถึงสิบนาที หญิงสาวที่ดูเหมือนจะชื่อ “มาริส” ก็
กลับมาพร้อมกับลูกสมุนผู้ชายชุดดำอีกสองคนที่
หิ้วปีกอะคะเนะซึ่งบอบช้ำยับเยินเข้ามาด้วย ร่าง
ของนักข่าวสาวถูกผลักลงไปกองบนพื้นระหว่างผม
กับดีฟอย่างไม่ปราณีปราศรัย
“อย่า ฉัน…ฉันไม่มีอะไรจะบอกอีกแล้ว พอเถอะ…
ขอร้องล่ะ ฉันกลัวแล้ว…”
เสียงครางหลุดออกจากปากของสาวเคราะห์ร้าย
เป็นช่วง ๆ จนจับแทบไม่ได้ศัพท์
“อะคะเนะ!”
ผมร้องเรียก นักข่าวสาวดูเหมือนจะมีปฏิกิริยากับ
เสียงของผมนิดหนึ่ง แต่ดีฟขยับร่างอุ้ยอ้ายของตน
ลุกขึ้นจากที่ก้มลงขยุ้มผมของหญิงสาวอย่างดุร้าย
แล้วดึงให้เธอลุกขึ้นยืนหันหน้ามาทางผม
“โอ๊ย เจ็บ… โคะจิโร่!” ในที่สุดอะคะเนะก็สังเกต
เห็นผมและร้องเรียกออกมา
“คุณชิบะตะ เราคงมีเรื่องรบกวนคุณอีกทีนะครับ”
เสียงของชายร่างอ้วนดังขึ้นจากด้านข้างของอะ
คะเนะอย่างสุภาพแต่แฝงไปด้วยแววอำมหิตโหด
เหี้ยมส่งผลให้หล่อนมีสีหน้าซีดเผือดลงทันที “คุณ
จะต้อง ‘ลำบาก’ เพิ่มขึ้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเพื่อน
ของคุณคนนี้แล้ว”
ผมเดาได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขยับตัวจะลุกขึ้นก็
ถูกซิเรียถีบท้องเอาไว้ด้วยแรงที่มากพอทำให้ผมล้ม
ตัวลงนั่งบนเก้าอี้ใหม่แต่ก็ไม่ถึงกับล้มไปด้านหลัง
“ของสำคัญของนายโคอยู่ที่ไหน คุณอะมะกิ” ดีฟลง
ดาบสุดท้าย
“ฉัน … ฉันไม่รู้” ผมไม่รู้จะตอบอะไรดีกว่านั้น
“จนถึงขนาดนี้แล้ว” ดีฟสบถ หมัดซ้ายของมันพุ่ง
เข้าหาใบหน้าของอะคะเนะซึ่งถูกจิกผมอยู่ในอุ้งมือ
อีกข้างหนึ่งของมัน
“พลั่ก!” “โอ๊ย!”
เลือดไหลพรั่งพรูลงมาจากมุมปากของหญิงสาว
หล่อนไม่เหลือกำลังแม้แต่จะร้องขอความเห็นใจ ได้
แต่ยืนตัวสั่นเทา
“จริง ๆ ฉันไม่รู้เรื่องที่นิไคโดมันทำจริง ๆ” ผม
พยายามชี้แจงต่อ
“พลั่ก” “พลั่ก” “…”
คราวนี้ดีฟรัวสองหมัดซ้อน เลือดจากปากของเหยื่อ
สาวติดกำปั้นของมันไปด้วย
“นิไคโดมันทำงานให้มิโด” ผมตัดสินใจลองทิ้งไพ่ใบ
นี้ออกไป “ฉันขอยืนยันว่าฉันไม่รู้เห็นกับนิไคโด ฉัน
ไม่รู้แม้กระทั่งว่า ของสำคัญที่พวกแกว่านั่นหมาย
ถึงอะไร แต่ฉันรู้ว่า…”
ผมชะงักไปนิดหนึ่งเพื่อดูให้แน่ใจว่า นายดีฟกำลัง
หยุดฟังผมอยู่เช่นกันจึงพูดต่อ
“เจ้านิไคโดมันรับงานจากนายลอสมิโด คนที่เป็น
ทูตเอลเดีย จริง ๆ”
ดีฟมีแววตระหนกเล็กน้อย ก่อนที่จะทิ้งร่างอะ
คะเนะให้ร่วงลงกองบนพื้นอย่างไม่แยแส ตรงเข้า
ขยุ้มคอเสื้อผมด้วยมือที่เปื้อนเลือดของอะคะเนะ
และถามผมว่า
“ไหนแกพูดใหม่สิ อะมะกิ”
“ฉันบอกว่า…” ผมพยายามเรียบเรียงคำพูด “ก่อน
ที่นายนิไคโดจะรับงานแกน่ะ เขาไปรับงานจากมิโด
อยู่ก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นนายจ้างที่แท้จริงของนิไค
โดคือนายมิโดนั่น นิไคโดถูกจ้างให้มารับงานแกอีก
ทีหนึ่ง เข้าใจรึยัง”
“…” สีหน้าดีฟบ่งบอกถึงความครุ่นคิด “แล้วแกล่ะ”
“ฉัน… พูดไปก็น่าอาย ฉันโดนนิไคโดกับอะคะเนะ-
เอ้อ หมายถึงชิบะตะน่ะ หลอกให้มาช่วยงานนี้โดย
ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยน่ะสิ” ผมแกล้งพูดเสียงอ่อย ๆ
ก่อนที่จะเสี่ยงทิ้งไพ่ลงไปอีกใบว่า
“ที่จริงแกกับมิโดเป็นพวกเดียวกันไม่ใช่เหรอ ไม่รู้
เลยเหรอว่า มิโดจ้างใครมาทำงานบ้าง”
“ฮึ่ม มิโด” ชายร่างอ้วนกระแทกร่างผมกับพนัก
เก้าอี้ ก่อนที่จะผละไปด้วยอารมณ์โกรธ “ฉันจะเชื่อ
แกสักครั้งนึง เจ้าอะมะกิ”
มันผละตรงไปที่ประตูห้อง ก่อนที่จะหันกลับมาสั่ง
งานลูกสมุนสาวทั้งสามในห้องว่า
“ข้าจะไปคุยกับมิโดก่อน แกสามคนดูแลที่นี่ให้ดี
ด้วย อ้อ อีกสักชั่วโมง มาสอบปากคำเจ้านั่นอีกที
ด้วยล่ะ ยาคงออกฤทธิ์แล้ว”
“ค่ะ” สามสาวในห้องรับคำพร้อมกัน
ร่างของหมูตอนหายไปจากประตู มาริสมองมาที่ผม
พูดพลางขยับแส้ในมือว่า
“ที่จริงไม่ต้องรออีกชั่วโมงก็ได้นิ ฉันอยากลอง
เหมือนกันว่าของเล่นชิ้นนี้จะทนได้สักเท่าไหร่”
“มาริส” ซิเรียปรามขึ้น “คิดแต่เรื่องจะทรมานคนนี่
นะ ออกไปจัดวางกำลังกันก่อน ท่านดีฟเอาคนไป
เท่าไรก็ไม่รู้”
“นั่นสิ” หญิงสาวในชุดกี่เพ้าพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“ออกไปทำงานกันก่อน เดี๋ยวค่อยเข้ามาสนุกก็ยัง
ทัน ฉันก็อยากดูนายผมยาวนี่ถูกเธอเฆี่ยนจังเลย
หมั่นไส้มาตั้งแต่ตะกี้แล้ว”
สรุปว่า ทั้งสามสาวเดินออกจากห้องนั้นไป ทิ้งให้
ผมซึ่งถูกมัดมือไขว้หลังอยู่กันตามลำพังกับเชลย
สาวที่บอบช้ำปางตาย
เมื่อสมุนสาวทั้งสามของชายร่างอ้วนอำมหิตที่แนะ
นำตัวกับผมว่าชื่อดีฟเดินออกจากห้องไปแล้ว ผม
จึงขยับตัวลุกจากเก้าอี้ลงไปนั่งกับพื้นโดยหันข้างให้
เชลยสาวที่นอนอยู่ มือทั้งสองของผมยังคงถูก
พันธนาการไว้ ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ ก่อนที่
ผมจะได้ทันเอ่ยปาก อะคะเนะก็ชิงเป็นฝ่ายส่งเสียง
อ่อน ๆ มาก่อนว่า
“โคะจิโร่... ฉันขอโทษ”
“เฮ้ยยย!” ผมแกล้งลากเสียงยาว “ขอโทษฉันเรื่อง
อะไรกัน หือ?”
“ฉัน... ทำให้โคะจิโร่ต้องลำบากไป...ด้วย”
“ไม่ใช่เพราะนายหรอก อะคะเนะ อย่าคิดมากเลย
แล้วก็นอนอยู่เฉย ๆ เถอะ เจ็บหนักออกอย่างนี้
แล้ว...” ผมปรามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวบอบช้ำหนัก
ขนาดจะพูดยังลำบากต้องพูดเสียงขาดเป็นห้วง ๆ
“...” อะคะเนะมองตาผมนิ่ง แล้วกลับถามมาอีกว่า
“เราจะรอดไหมนี่”
“รอดสิ” ผมตอบสวนกลับทันควัน “ต้องรอด!”
ใช่ครับ ผมจะมาสิ้นท่าอยู่แค่นี้ไม่ได้ ภารกิจที่ผม
ต้องทำยังมีอีกมากมาย และที่สำคัญที่สุด ในสถาน
การณ์คับขันเช่นนี้ ในห้วงมโนทัศน์ของผมกลับนึก
ถึง... “ยะโยย” และคำสัญญาที่ผมให้กับเธอไว้เมื่อ
คืนวานนี้เองว่า ผมจะต้องปลอดภัยกลับไปหาเธอ
ให้ได้ (แม้ว่าเมื่อล่วงเข้ามาวันนี้ เราจะผิดใจกันอยู่
ด้วยเรื่องของซิเรียก็ตาม)
ผมลุกขึ้นยืนมองสำรวจรอบ ๆ ห้องอีกครั้งโดยไม่
สิ้นหวัง แต่ก็ไม่พบหนทางที่จะพาตัวเองให้หนีรอด
จากที่นี่ได้เลย ห้องนั้นเป็นห้องเล็ก ๆ เพดานสูง
ผนังทึบทั้งสี่ด้าน มีประตูเพียงประตูเดียวซึ่งพวก
ของดีฟใช้เข้า-ออกเมื่อสักครู่ ผนังด้านตรงข้ามกับ
ประตูมีช่องอากาศ แต่มันก็อยู่สูงเกินไปแม้จะใช้
เก้าอี้ที่มีอยู่ตัวเดียวในห้องนั้นเป็นฐานยืนก็ตาม บน
เพดานมีช่องอากาศอีกช่องหนึ่งซึ่งปิดกั้นไว้ด้วยลูก
กรงเหล็กท่อนโตท่าทางแข็งแรง เหนือช่องอากาศ
นั้นขึ้นไปมองเห็นท้องฟ้าราตรี มองเห็นดวงดาว
ระยิบระยับในยามค่ำคืน แสดงให้เห็นว่าห้องที่ผม
อยู่นี้เป็นชั้นบนสุดของตัวอาคาร สิ่งของที่มีในห้อง
นอกจากเก้าอี้แล้วก็มีโทรทัศน์อีกเครื่องเดียว
'เฮ้อ!' ผมรำพึงในใจ เห็นทีจะหมดหวังเสียละมัง
ทันใดนั้นเอง
“ปัง”

back index next