EVE Burst Error
ภาค โคะจิโร่
วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 19xx
(กลางคืน)
ความช่วยเหลือ
ผมหันขวับไปทางต้นเสียง... ไม่ใช่สิครับ ไปทิศที่
เป็นต้นเสียงต่างหาก เพราะอย่างที่บอกแล้วว่าเป็น
ห้องผนังทึบทั้งสี่ด้าน เสียงที่ดังขึ้นนี้ ถ้าผมฟังไม่ผิด
มันเป็นเสียงปืน และดังขึ้นภายในอาคารนี้เอง ชั่ว
ขณะต่อมา...
ปัง ๆ ๆ ๆ เปรี้ยง ๆ ๆ
เสียงปืนเริ่มดังถี่ขึ้น และผมสามารถรับรู้ได้ถึงเสียง
ฝีเท้า, เสียงร้องตะโกนสั่งงานและความอลหม่านที่
เกิดขึ้นนอกห้องได้อย่างชัดเจน
เกิดอะไรขึ้นหรือนี่? เป็นสิ่งที่ผมต้องถามตัวเอง
ตามสถานการณ์แล้วดูเหมือนว่าจะมีใครกำลังต่อสู้
กันอยู่ แต่จะเป็นใครนั้น? แน่ล่ะฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็น
ฝ่ายตั้งรับด้วย คือเจ้าของสถานที่นี้ได้แก่พวกของ
ดีฟนั่นเอง แต่ใครล่ะที่เป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามาประทะ
กับ... เดี๋ยวก่อนผมนึกอะไรออกอีกแล้ว พรินใน
ฐานะที่เป็นเจ้าหญิงพริเซียบอกกับผมไว้นี่ว่า พวกที่
จู่โจมเข้าไปห้องของเธอที่โรงแรมพรินเซสคือ หน่วย
จู่โจมของกรมข่าวกรองเอลเดียเก่า และการที่ผมตก
อยู่ในเงื้อมมือของนายดีฟ ก็หมายความว่านายดีฟ
เป็นพวกกรมข่าวกรองเอลเดียเก่าอย่างนั้นหรือ?
และถ้าอย่างนั้นจริงใครล่ะที่กำลังบุกเข้าสถานที่นี้
อยู่ ผมนึกถึงกองกำลังฝ่ายรัฐบาลญี่ปุ่นทันทีเพราะ
ทางเราก็ได้จับตาการเคลื่อนไหวของกรมข่าวกรอง
เอลเดียเก่าอยู่แล้ว (จากข้อมูลที่ได้ด้วยความร่วม
มือของฮิมุโระ) แต่... เดี๋ยวก่อน มีอะไรผิดปกติใน
การต่อสู้ข้างนอก ผมรู้สึกว่า ฝ่ายที่มาบุกมีกำลัง
น้อย ใช่ น้อยจริง ๆ อาจจะมีแค่สองถึงสามคน หรือ
ไม่ก็... มีแค่คนเดียวแต่พยายามใช้กลยุทธต่าง ๆ
ในการหลอกล่อเพื่อสร้างความโกลาหลให้กับฝ่าย
ของดีฟมากที่สุดซึ่ง 'เขา' คนนั้นก็ทำได้ไม่เลวเลยที
เดียว ให้ผมหลุดจากพันธนาการและมีปืนอยู่ในมือ
ก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้อย่าง 'เขา' ผู้นั้นรึเปล่า
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลามานั่งงอมืองอเท้า หรือนั่ง
วิเคราะห์สถานการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้น่า
จะช่วยให้ผมพลิกสถานการณ์ได้ไม่มากก็น้อยล่ะ
แต่... อึดใจถัดมาผมก็ทราบว่าผมคาดผิด เมื่อ
ประตูห้องที่ผมกับอะคะเนะถูกทิ้งให้อยู่ด้วยกันนั้น
เปิดผางออกอย่างแรง หญิงสาวเจ้าของนามมาริส
วิ่งเข้ามาพร้อมกับซิเรีย ในมือของมาริสไม่มีแส้แล้ว
แต่มีปืนกลยาวกระบอกหนึ่งอยู่แทน ส่วนในมือของ
ซิเรียก็มีมีดคู่กายของเธอถูกกำอยู่เช่นกัน
ปลายกระบอกปืนถูกชี้มาที่ผม
คิดจะหนีสิท่า มาริสพูดดักคอผมได้ถูกทีเดียว
ฉันไม่ลืมหรอกน่าว่านายถูกขังอยู่ที่นี่ทั้งคน
ทำไมเหรอจ๊ะ กลัวพี่เป็นอันตรายเลยรีบมาคุ้ม
ครองเหรอน้องสาวคนสวย ผมทำใจดีสู้เสือ
ฮึ่ม มาริสเม้มริมฝีปาก ผมรู้สึกเย็นสันหลังวาบลุ้น
ว่าหล่อนจะเหนี่ยวไกปืนหรือไม่ ปากดีนักนะ ฉัน
จะต้องจัดการแกแน่ ไปเดินไป สุดท้ายใช้ปลายปืน
ตวัดทำท่าให้ผมเดินไปที่ประตูส่วนตัวของเจ้า
หล่อนเองเดินอ้อมไปทางด้านหลังผมเพื่อคุมเชิงอีก
ทีหนึ่ง ผมไม่มีทางเลือกเดินตรงไปที่ประตูแต่โดยดี
ระหว่างนั้นซิเรียก็ยกร่างของอะคะเนะขึ้นพาดบ่า
แล้วเดินมาด้วยกัน
จะให้ไปไหนมิทราบขอรับ ผมยังคงสไตล์กวน
อวัยวะเบื้องต่ำเหมือนเดิม ไม่ทันขาดคำปลาย
กระบอกปืนก็กระทุ้งเข้าเต็มแรงที่กลางแผ่นหลังจน
ผมเซไปข้างหน้า
เดินตามคนข้างหน้าไป เห็นไหม แก...ฮึ่ม ไว้ถึงที่
ก่อนเถอะ ฉันจะคอยดูว่าแกจะเก่งไปได้สักกี่น้ำ
พวกเราสี่คนเดินตามกันโดยมีซิเรียที่แบกอะคะเนะ
พาดบ่าไว้เดินนำหน้า ตามด้วยผม และปิดท้ายด้วย
มาริส เสียงปืนจากการประทะกันรอบนอกยังคงดัง
เป็นระยะ ๆ ผมเดินตามซิเรียไปแต่ก็ยังมีเวลาพอที่
จะสังเกตได้ว่า ปืนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกของ
ดีฟตอนนี้ไม่ใช่ปืนเดียวกับที่เปิดฉากการโจมตีเมื่อ
สักครู่ ขบวนของพวกผมเดินลงบันไดด้านหลังตึก
อย่างรีบเร่ง จนถึงชั้นล่างของอาคารซึ่งผมเพิ่ง
สังเกตได้เดี๋ยวนี้เองว่ามันเป็นอาคารร้างในเขตนิคม
อุตสาหกรรมที่อยู่ชิดกับทะเล ใกล้ ๆ กับเชิงบันไดมี
รถยนต์คันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว
ซิเรียตรงเข้าไปเปิดประตูรถคันนั้น และโยนร่างของ
อะคะเนะเข้าไปเบาะหลังอย่างรีบเร่งก่อนจะหันมา
สบตากับมาริสซึ่งถือปืนคุมเชิงผมอยู่
เอาไงดี เสียงปืนเงียบไปแล้ว มือมีดสาวเอ่ยถาม
อืมห์ เธอไปคนเดียวละกัน ฉันจะกลับเข้าไปดู
สถานการณ์ก่อน ว่าแต่... ท้ายประโยคทอดเสียง
ยาวมา ผมรู้ได้ว่าหล่อนกำลังหมายถึงผมนั่นเอง ซิ
เรียแค่นยิ้มไม่พูดตอบอะไร เดินผ่านด้านข้างตัวผม
แล้วทันใดนั้นเองเธอก็ตวัดสันมือข้างที่ไม่ได้ถือมีด
เข้าที่ต้นคอด้านหลังของผมอย่างแรง
พลั่ก อุ...
ผมมีโอกาสร้องได้เพียงแอะเดียวก่อนที่จะล้มลง
หมดสติ (?)
รีบตามไปนะ เสียงซิเรียดังขึ้น จากนั้นร่างของผม
ก็ถูกหิ้วคอขึ้นมาและลากไปโยนโครมเข้าเบาะหลัง
ของรถคันเดิมอย่างไม่ปรานีปราศรัย เสียงฝีเท้าของ
ใครอีกคนซึ่งคงเป็นมาริสวิ่งกลับขึ้นบันไดไป ขณะที่
ซิเรียเดินอ้อมไปเปิดประตูที่ที่นั่งคนขับรถ และส
ตาร์ทรถออกไป
นี่ จะนอนซบตักสาวไปถึงไหน โคะจิโร่! เสียงของ
คนขับรถดังจากด้านหน้า
ผมฟื้นได้สติ (?) ทันที ขยับตัวจากตักนิ่ม ๆ ของอะ
คะเนะลุกขึ้นนั่งบนเบาะหลัง แล้วก็ชะโงกตัวไปชิด
พนักเก้าอี้ด้านหน้า เอามือสองข้างท้าวบนพนักไว้
อ้อ ไม่ต้องแปลกใจครับ มือของผมเป็นอิสระแล้ว ซิ
เรียตัดเชือกที่มัดมือผมตอนที่หล่อนลากตัวผมขึ้น
รถนั่นแหละ และที่จริงนี่เป็นการร่วมมือกันเล่น
ละครตบตาของเราสองคนแต่แรก เพราะน้ำหนัก
สันมือที่ซิเรียฟาดลงต้นคอผมนั้นหนักหน่วงก็จริง
แต่ไม่ถูกจุดสำคัญที่จะทำให้ผมสลบได้ ทำให้ผม
อ่านเจตนาของหล่อนออกทันทีจึงรับมุขอย่างแนบ
เนียน แต่มองจากภายนอก จะเห็นว่าผมโดนเคาะ
อย่างแรงจนสลบ เมื่อหวนคิดว่าคนดูคือ มาริสซึ่ง
เป็นพวกจารชนด้วยแล้ว ละครฉากนี้นับว่าแนบ
เนียนมาก
มือหนักจัง ซิเรียเนี่ย ผมแกล้งต่อว่า
ฮึ อยากทำทะเร่อทะร่าให้เขาจับมาทำไมล่ะ สาว
เจ้าตอบมาเสียงดุ สายตายังคงมองถนนเบื้องหน้า
ไม่หันกลับมา เสียงของหล่อนอ่อนลงเมื่อพูด
ประโยคต่อมา ขอบคุณนะ ที่ช่วยปกป้องท่าน
หญิงพริเซีย
... ผมใช้ความคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะถามเธอไป
ว่า ตกลงเธอเป็นพวกใครกันแน่
หึ หึ บอกแล้วไงว่าฉันเป็นคนของกรมข่าวกรอง
เอลเดียเก่า เป็นคำตอบที่ไม่ได้ให้ความกระจ่างขึ้น
เลย เอาเถอะ ฉันไม่มีเวลาจะอธิบายคุณหรอก ไว้
คุณถามอีตานั่นเอาเองละกัน
อีตานั่น? ผมทวนคำอย่างงง อีตาไหนหว่า?
เดี๋ยวแกก็ตามมาเองแหละ เอ้า ลงไปได้แล้ว จู่ ๆ
สาวก็จอดรถเสียดื้อ ๆ ที่ริมหาดทรายซึ่งผมจำได้ว่า
อยู่ห่างจากท่าเรือไม่มากนัก เอ๊ะ ท่าเรือมาเกี่ยว
อะไรหรือครับ? ก็... อย่าลืมสิครับว่าสำนักงานของ
ผมคือ โกดังแห่งหนึ่งในท่าเรือไงครับ
ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับจารชนสาวอีก
ต่อไป เพราะทราบดีว่าถ้าหากจารชนสักคนบอกว่า
ไม่มีเวลา ก็หมายความว่าไม่มีเวลาจริง ๆ ผมหันไป
ประคองอะคะเนะซึ่งตลอดเวลาได้แต่นั่งเงียบด้วย
ความงงที่ผมกับซิเรียรู้จักกันลงจากรถ แล้วก้มหน้า
ลงไปที่หน้าต่างรถ
ขอบคุณมากนะ ว่าแต่ คุณจะไม่เป็นไรเหรอ ทำ
เชลยหล่นหายระหว่างทางอย่างนี้น่ะ
สถานการณ์ตอนนี้ เท่าที่ผมประมวลได้ก็คือ
สำหรับพวกของดีฟแล้ว ขณะที่ดีฟซึ่งบอกว่าจะไป
เจรจากับมิโดได้ออกจากที่ตั้งของตัวเองไป เหลือ
แต่ลูกน้องซึ่งนำโดยสามสาว ก็ปรากฏว่ามีใครไม่รู้
บุกเข้าโจมตีที่มั่น มาริสกับซิเรียจึงตัดสินใจพาเชลย
สองคนซึ่งยังมีความสำคัญอยู่หนีไปที่อื่นก่อน
(เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ได้สอบสวนผมอีก
รอบโดยอาศัยฤทธิ์ยาที่ฉีดให้ผมเมื่อเกือบชั่วโมงที่
แล้ว) ... นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้น ในมุมมองของคนฝ่าย
ดีฟนะ
ไม่ต้องห่วง ซิเรียตอบพลางส่งอะไรบางอย่างให้
ผม เมื่อผมรับมาในมือแล้วจึงพบว่ามันเป็นยาเม็ด
แคปซูลสองเม็ด
คุณรีบกินยาแก้เข้าไปเถอะ ฉันไปละนะ
พูดจบหล่อนก็สตาร์ทรถออกไป ผมโยนยาสองเม็ด
เข้าปากทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคือยาแก้ยา
กล่อมประสาทที่ผมถูกฉีดไว้นั่นเอง
โคะจิโร่... เสียงอะคะเนะดังขึ้น
ผมหันไปทางหล่อน พบว่าหล่อนมองมาก่อนแล้ว
ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ฮึ แม่
คุณเอ๊ย เจ็บหนักออกอย่างนี้ยังไม่ทิ้งวิญญานนัก
ข่าวอีกนะ แต่อย่างไรก็ตามผมยังไม่อยากอธิบาย
ให้ในตอนนี้ เพราะผมเองก็เต็มไปด้วยคำถามอยู่ใน
สมองเหมือนกัน โดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับซิเรีย
และ อีตานั่น ที่หล่อนอ้างถึง
อย่าเพิ่งถามอะไรเลยอะคะเนะ ผมปราม ตรงเข้า
ประคองเธอให้เดินไปที่ใต้ต้นไม้ริมถนนต้นหนึ่งแล้ว
ก็ดันให้ตัวเธอทรุดตัวลงนั่งอย่างสุภาพ
เหนื่อยไหม? หลับสักงีบก่อนก็ได้นะ...
... นักข่าวสาวมองผมอย่างตั้งคำถาม
ฉันคงมีอะไรต้องเคลียร์อีกนิดหนึ่งน่ะ เดี๋ยวกลับไป
ที่ออฟฟิศฉัน แล้วมีอะไรเราค่อยไปคุยกันที่นั่น นะ
อืมห์ อะคะเนะรับข้อเสนอของผมในที่สุด เอน
หลังลงพิงต้นไม้แล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
อากาศยามค่ำคืนของเดือนธันวาคมหนาวเย็นพอ
สมควร ผมจนใจเหลือเกินที่เสื้อนอกของผมถูกทิ้ง
ไปแล้วตอนที่สู้กับหน่วยจู่โจมของดีฟที่โรงแรมพริน
เซส ไม่งั้นคงได้ให้หล่อนใช้เป็นผ้าห่มไปก่อน เพราะ
เจ้าชุดที่เจ้าหล่อนสวมอยู่ก็ขาดกระรุ่งกระริ่งเหลือ
เกินแทบจะไม่เป็นชุดอยู่แล้ว
หนาวไหม? ผมทำได้แค่นี้เอง เฮ้อ
อื้อ อะคะเนะส่ายหน้า แต่อย่านานนะ เดี๋ยวฉัน
แข็งตายพอดี
เออ
ผมผละจากเธอ เดินมาที่ถนน สงบสติอารมณ์
วิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้- โดย
เฉพาะในช่วงค่ำนี้
อีกประมาณห้านาทีถัดมา เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ที่ริมถนนอย่างเงียบเชียบ ผมใจหายวาบที่บุคคลผู้
นี้สามารถปรากฏตัวขึ้นในระยะใกล้กับผมได้ขนาด
นี้โดยที่ผมไม่รู้ตัว แต่แล้ว แสงจากดวงจันทร์ที่สาด
ส่องลงมา ก็ทำให้ผมต้องประหลาดใจขึ้นไปอีก อ้า
ปากจะเอ่ยคำแต่แล้วก็กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออก
มา เพราะบุคคลผู้นี้คือ...
คะทสึระงิ เก็นซาบุโร่ บิดาของยะโยยและเป็น
เสมือนบิดาบุญธรรมของผมและและอาจารย์ผู้ประ
สิทธิประสาทวิชานักสืบให้ผมนั่นเอง!
...
back index next