EVE Burst Error
ภาค โคะจิโร่
วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 19xx
(กลางคืน)

เบื้องหลัง


ฃายวัยกลางคนในชุดสากลผูกโบว์หูกระต่ายอย่าง
เท่ห์ ยืนอยู่บนหาดทราย สูบยาเส้นจากกล้องสูบ
อย่างสบายอารมณ์ ผมยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเขา คำ
ถามมากมายมีอยู่เต็มใจของผมแต่พอเอาเข้าจริง
กลับไม่รู้จะถามอะไรก่อนดี
“ฟู่” เก็นซาบุโร่พ่นควันออกจากปากก่อนเปรยว่า
“ยาเส้นที่ดี ยาเส้นที่ดี”
“เฮ้อ เหมือนเดิมเลย” ผมรำพึง
“ว่าไงไอ้หนู ถ้าไม่มีอะไรจะพูดข้าก็จะไปล่ะนะ”
“เลิกเรียกไอ้หนูสักที คุณลุง”ผมกระแทกเสียงกลับ
ไป “ทำไม...”
“ทำไม?” ผู้สูงอายุกว่าคาบกล้องยาเส้นไว้ที่ปาก
อย่างเก๋ไก๋อีกทีก่อนหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามผม
“ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย”
“อย่างนี้น่ะอย่างไหนล่ะ เจ้าหนู”
“ก็...ทุกเรื่องนั่นแหละ ตั้งแต่แกล้งทำเป็นทิ้งหลัก
ฐานทุจริตให้ผมจับได้ จนกลายเป็นว่าผมเป็นคนส่ง
ลุงเข้าคุก ทั้ง ๆ ที่ลุงนั่นแหละที่เป็นคนเขียนบททั้ง
หมด แล้วก็... เรื่องตายในเรือนจำนั่นอีก ยะโยยเสีย
ใจมากนะที่รู้ว่าลุงตายไปน่ะ”
“ฟู่” อดีตเจ้าของสำนักงานนักสืบเอกชนคะทสึระงิ
พ่นควันยาสูบออกมาอีกครั้งก่อนจะพูดต่อว่า
“กรรมใดใครก่อ คนนั้นก็ต้องรับไป ทั้งหมดนั่นข้าก็
กำลังจะรับผิดชอบสิ่งที่ข้าทำเอาไว้เท่านั้นเอง ไอ้
หนูเอ๊ย ว่าแต่...”
“อะไร?”
“เอ็งเล่นนอกบทข้าไปอย่างหนึ่งนี่หว่า ข้าไม่ได้
ต้องการให้เอ็งแยกตัวออกจากยะโยยนะเฟ้ย”
“ช่วยไม่ได้ จับพ่อเขาเข้าคุกแล้วใครจะยังมีหน้าไป
อยู่กับเขาได้ล่ะ”
“รักแท้ย่อมไม่แพ้ต่ออุปสรรคสิวะ” ลุงเก็นซาบุโร่
สรุปง่าย ๆ

“พูดง่ายนิลุง เฮ้ย! นอกเรื่องแล้ว เรื่องยะโยยเอาไว้
ทีหลังก่อน ไอ้ที่ว่าลุงกำลังจะรับผิดชอบอะไรสัก
อย่างนั่นมันอะไรน่ะ”
แน่นอนสิ่งนั้นย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่ ชายผู้นี้ถึง
ต้องลงทุนสูงขนาดสร้างสถานการณ์ว่าตัวเองตาย
แล้วเพื่อที่จะ “ดำดิน” (อันนี้เป็นศัพท์ของผม ส่วน
เจ้าตัวนั้นเขาจะพูดว่า “ข้ามาเหนือเมฆเฟ้ย” เสมอ)
ไปปฏิบัติการต่าง ๆ ได้
“ฟู่” ผู้สูงวัยกว่าพ่นควันยาออกมาอีก คราวนี้สีหน้า
ขรึมลงก่อนจะเล่าว่า
“เอ็งจำได้ไหมว่า ประเทศที่ข้าไปสร้างบ้านที่สองอยู่
คือประเทศอะไรวะ”
“จำได้สิ ผมกับยะโยยยังเคยไปเยี่ยมลุงเลย สักห้าปี
ได้แล้วมั้ง”
“ประเทศอะไรล่ะ?”
“เอลเดียไง เอ๊ะ หรือว่า???” ผมชาวาบไปทั้งตัว
ทำไมผมลืมนึกถึงประเด็นนี้ไปได้นะ สังหรณ์ไม่ดี
เริ่มก่อตัวภายในจิตใจของผม ให้ตายเถอะ ผมชัก
ไม่อยากฟังเรื่องต่อไปเสียแล้วสิ
แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่รับรู้ต่อความรู้สึกของผมยังคงเล่า
ต่อไปด้วยน้ำสียงเรียบ ๆ เหมือนเดิม
“แล้วเอ็งรู้ไหมว่าข้าไปทำอะไรที่นั่น ฉากหน้า คือ
ธุรกิจ แต่ฉากหลัง ข้าเข้าไปบุกเบิกและช่วยพวกเขา
สร้างประเทศเฟ้ย แหม ตอนนั้นข้ายังหนุ่มยังแน่นนี่
นะ (ลุงเก็นซาบุโร่แกคิดว่าตัวเองหนุ่มเสมอแหละ
ครับ) พอมีคนที่คุยกันถูกใจชักชวนกันไปทำงานข้า
ก็ตกลงเลยว่ะ มีลูกสาวกับเขาคนก็ถูกไอ้หน้าอ่อนที่
ไหนคว้าไปกินเสียแล้ว” ลงท้ายไม่วายหันมาแขวะ
ผม
“งานที่ลุงทำก็คงไม่พ้น...” ผมไม่ยอมออกนอก
ประเด็น
“ใช่ งานจารกรรมไง” เจ้าตัวตอบ “เอลเดียเป็น
ประเทศเกิดใหม่ พวกต่างชาติพากันหมายปองที่จะ
เข้าไปสร้างอิทธิพลเหนือประเทศเล็ก ๆ ที่น่ารักน่า
ชังนี้ ตอนนั้นหน้าที่ของข้าและอีกสองคนก็คือ ร่วม
กันทำงานให้กรมข่าวกรองเอลเดียสร้างเครือข่าย
งานจารกรรมและงานต่อต้านจารกรรมของเอลเดีย
ให้เข้มแข็ง เพื่อใช้เป็นอำนาจต่อรองในทางการทูต”
“อีกสองคนนั่น คือ มิโดกับดีฟล่ะสิ” ผมลองถามดู
“ใช่ หัวไวดีนี่ ไม่เสียแรงที่เคี่ยวเข็ญเอ็งมากับมือ”
เป็นอันว่า สามแกนนำกรมข่าวกรองเอลเดียซึ่งเป็น
ชาวเอเชียตะวันออกทั้งหมดก็เป็นที่กระจ่างชัดแก่
ผมแล้วว่า ได้แก่ใครบ้าง
“มิโดเป็นคนรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอันจะเป็น
ประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของ
เอลเดีย ข้าเป็นคนวางแผนและควบคุมงานจาร
กรรมและงานต่อต้านจารกรรมในประเทศ ส่วนดีฟ
เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติงานจริงโดยเฉพาะงาน
นอกประเทศ ผลงานชิ้นโบว์แดงของเราคือ นักฆ่า
ล่องหนที่สามารถเอาชีวิตเป้าหมายได้แน่นอนร้อย
เปอร์เซ็นต์โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้นอกจากสัญลักษณ์
ประจำตัว พวกเราให้ชื่อมันว่า เทอร์เรอร์ เอ็งคงเคย
ได้ยินมาบ้างแล้ว”
“ฮ้า! นี่หมายความว่า เทอร์เรอร์คือ... นักฆ่าของ
หน่วยข่าวกรองเอลเดียเหรอ” ผมถามเสียงแหบ
“เออ” อดีตแกนนำกรมข่าวกรองรับ “ในเมื่อเอ็งเคย
รู้กิตติศัพท์ของเทอร์เรอร์มาแล้วข้าก็จะขอเตือนเอ็ง
ว่า 'อย่าสู้หรือคิดลองดีกับเทอร์เรอร์เป็นอันขาด เอ็ง
ไม่มีทางชนะมันได้จำไว้' เข้าเรื่องต่อดีกว่า...เอล
เดียแข็งแกร่งฝ่ามรสุมการเมืองระดับประเทศมาได้
ด้วยวิเทโศบายแบบนี้แหละ จนกระทั่ง วันหนึ่งข้าก็
หลงผิด เสนอโปรเจคขึ้นมาโปรเจคหนึ่ง ซึ่งเจ้ามิโด
ฟังแล้วมันก็รับทำและเริ่มลงมือทันที”
“ให้ตายเถอะ ชักได้กลิ่นตุ ๆ อีกแล้วสิ” ผมแกล้งว่า
“หึ หึ นี่ก็สงสัยแกจะได้เค้าระแคะระคายมาแล้ว
เหมือนกันสิท่า ใช่ โปรเจคที่ว่าคือ นีโอซีรีบรัมโปรเจ
ค หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่าโปรเจคซีนั่นแหละ!”
“...” ทั้งที่พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วสามสี่ส่วนแต่ผมก็
ยังอดตะลึงไม่ได้ เมื่อทราบความจริงว่าผู้ให้กำเนิด
โปรเจคซีที่แท้จริงไม่ใช่ใครที่ไหน กลับเป็นคนที่ผมรู้
จักดีนี่เอง
“โปรเจคนี้เอง เป็นจุดเริ่มของความแตกแยกของ
พวกเรา การเมืองเอลเดียตอนนั้น...หรือแม้แต่ตอน
นี้ก็ตาม-ยุ่งเหยิงยิ่งกว่ายุงตีกันเสียอีกล่ะเอ็งเอ๋ย
ท้ายสุดมิโดทำทีว่ายุบกรมข่าวกรองเอลเดีย เพื่อยุติ
บทบาทของเทอร์เรอร์ และยุบสำนักงานพัฒนา
วิทยาศาสตร์แห่งชาติเพื่อยุติโปรเจคซี”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์เกี่ยวอะไรกับโปรเจค
ซี? ผมสงสัยขึ้นมาแต่ก็ต้องนิ่งฟังต่อไป
“แต่ที่จริง กรมข่าวกรองเอลเดียก็ยังคงดำเนินงาน
ของมันต่อไปอย่างลับ ๆ และโปรเจคซีเองก็สำเร็จ
ไปแล้วเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในตอนที่สำนักงาน
พัฒนาวิทยาศาสตร์ถูกยุบ”
ลุงหยุดอัดยาเส้นอีกหนึ่งเฮือกก่อนจะเล่าต่อ
“จุดหักเหของเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่กษัตริย์เอลเดี
ยองค์ก่อนสวรรคต และสตรอลแมนโคมาปรึกษาข้า
ว่าจะช่วยให้องค์หญิงพริเซีย รัชทายาทของเอลเดีย
หลบหนีออกจากประเทศได้อย่างไร ข้าจึงตัดสินใจ
กระทำสิ่งที่ข้าเห็นว่าสมควรทันที แน่นอน มิโดมอง
ว่าข้าหักหลังต่อเขา”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ถึงต้องแกล้งทำเป็นเข้าคุกใช่
ไหม”
“ใช่ ข้ากะว่าพวกมันน่าจะเลิกตอแยข้าเมื่อข้าเข้าไป
อยู่ในคุกแล้ว แต่พวกมันก็ยังส่งคนมาก่อวินาศ
กรรมเรือนจำเข้าไปอีก ดีนะที่ซิเรียส่งข่าวให้ข้ารู้ทัน
เลยหนีออกมาเสียก่อน”
“พูดถึงซิเรีย...” ผมหยีตามองบุรุษอาวุโสอย่าง
คาดคั้น “น้องต่างแม่ของยะโยยสิท่า!”
“ฮะ ๆ ๆ” บิดาของยะโยยเสหัวเราะ “สมัยแรกที่ข้า
ไปเอลเดียมันเหงานี่หว่า เลยไปไข่ทิ้งเอาไว้นึกไม่ถึง
เลยว่า ลูกคนนี้จะต้องมาช่วยพ่อมันตามชดใช้กรรม
ข้าไม่รู้จะเสียใจดีหรือดีใจดีที่ให้มันเกิดมา”
“พูดบ้า ๆ” ผมตำหนิ “ลูกทั้งคนนะ เจ้าตัวเองเขาก็
รักลุงอยู่ไม่น้อยนะ ถึงแม้ว่าปากจะบอกว่าเกลียดก็
เถอะ”
“ว่าแต่เอ็งรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“ก็... เมื่อเห็นลุงเมื่อกี้นะแหละ”
“อืมห์” ลุงอัดยาเส้นเข้าปอดอีกที รำพึงว่า “เด็กนั่น
น่าสงสารนะ ข้าให้เวลาใกล้ชิดกับมันมากกว่าพี่
สาวก็จริง แต่สิ่งที่ข้าให้ลูกสาวคนนี้ ก็คือวิชาการต่อ
สู้และศาสตร์ว่าด้วยการจารกรรมทั้งหลายแหล่ ข้า
สอนทุกอย่างพอ ๆ กับที่สอนให้เอ็งนั่นแหละแล้วซิ
เรียก็กลายเป็นกำลังสำคัญของข้า ที่ข้าทิ้งไว้ใน
หน่วยข่าวกรองเอลเดีย คอยเป็นสายให้ข้าอีกที
โดยไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นลูกสาวข้าเอง ว่าแต่...ได้
ข่าวว่าเอ็งทำมิดีมิร้ายกับน้องสาวแล้วพี่สาวมาเจอ
เข้าพอดีงั้นเรอะ”
“จะบ้าเหรอ ยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ผมรีบ
ปฏิเสธ
“ฮะ ๆ ๆ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก เสร็จเรื่องยุ่ง ๆ นี่แล้ว
เอ็งรับไปเป็นเมียทั้งสองคนเลยก็ยังได้นะ ข้ายกให้”
“พ่อที่ไหนยกลูกสาวตัวเองให้คนอื่นง่าย ๆ อย่างกับ
ให้ของแบบนี้วะ เฮ้ย นอกเรื่องอีกแล้ว”
“ฮะ ๆ ๆ บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าโมโหง่าย เจ้า
หนู เมื่อไหร่จะเก่งอย่างข้าได้วะ”
“...” ผมมองอีกฝ่ายอย่างเอือมระอา ลุงแกก็เป็น
เสียแบบนี้แหละครับ ชอบยั่วโมโหผมเล่นแบบนี้
เรื่อย อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าลุงเป็นคนเก่ง
ชนิดเซียนเหยียบเมฆทีเดียวและคำพูดโอ้อวดเหล่า
นั้นที่จริงไม่ใช่คำโอ้อวดหากแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น
(ยกเว้นเรื่องที่ว่า “ข้ายังหนุ่มนะเฟ้ย” อะไรทำนอง
นั้นนะ)
“เรื่องของเจ้าหญิงพริเซียก็เหมือนกัน ข้าเป็นคน
บอกผ่านสตรอลแมนเองให้พรินไปหาเอ็งที่แถว ๆ
โกดังที่รกเหมือนรังหนูในท่าเรือ”
“เฮอะ โทษที ที่เป็นรังหนูรก ๆ นะ” ผมแกล้งประชด
ก่อนจะถามว่า “แล้ว...เรื่องจะเป็นยังไงต่อไป”
“ป่านนี้ เจ้าหญิงพริเซียคงอยู่ในความดูแลของ
สถานทูตเอลเดียแล้วล่ะ เอ็งไม่ต้องห่วง เจ้าหญิง
ของเอ็งจะยังปลอดภัยจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ อ้อ ใช่
พรุ่งนี้เอ็งต้องไปร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของราชินีองค์
ใหม่แห่งเอลเดียให้ได้นะ เพราะเอ็งต้องเอานี่ไปให้
นาง”
ลุงล้วงหยิบของบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อนอกส่งให้
ผม มันเป็นแผ่นโลหะบางฉลุลายเป็นลวดลายที่ผม
มองปราดเดียวก็จำได้ว่าเป็นลายเดียวกับภาพลาย
เส้นเจ้าปัญหาที่เจ้าดีฟซึ่งปลอมเป็นสตรอลแมนโค
เคยให้ผมสืบหานั่นเอง นี่เองคือ ตราแผ่นดินเอล
เดียซึ่งพริเซียเคยกล่าวว่าสตรอลแมนโคพยายาม
จะมอบให้เธอแต่ไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม แผ่นโลหะ
ในมือผมตอนนี้มีเพียงครึ่งเดียว
เหมือนลุงเก็นซาบุโร่จะรู้ทันความคิดของผม แกชิง
บอกก่อนว่า “มันมีแค่ครึ่งเดียว เพราะอีกครึ่งหนึ่ง
อยู่ในมือดีฟ ซึ่งสุดท้ายก็จะตกไปอยู่ในมือของมิโด
จนได้” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับแก แล้วเก็บตราแผ่น
ดินครึ่งหนึ่งนั้นลงในกระเป๋ากางเกง
“ถ้าเอ็งไม่ทะเล่อทะล่ามากนักและเฉลียวใจสัก
หน่อย เราก็จะมีตราแผ่นดินครบทั้งสองครึ่ง แต่ช่าง
เถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อ้อ พูดถึงเจ้าหญิงพ
ริเซียแล้วนึกขึ้นได้ อย่าไว้ใจนางร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ทำไม?”
“บ๊ะ นี่เอ็งหลงเสน่ห์เจ้าหญิงเข้าแล้วสิท่า” ลุงหันมา
พ่นควันยาใส่หน้าผม “บอกตรง ๆ ข้าอ่านนางไม่
ออกว่ะ ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ อย่างไรก็
ตาม คืนพรุ่งนี้ทุกคนที่เกี่ยวข้องจะไปรวมกันที่เรือท
ริตันซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน รวมทั้งเอ็งด้วยอย่าลืม”
“แล้วลุงล่ะ?”
“งานของข้า คือ ล้มล้างโปรเจคซี” ยอดนักสืบและ
ยอดจารชนวัยกลางคนไม่ยอมตอบคำถามผมตรง
ๆ แกก้มมองนาฬิกาแล้วก็บอกผมว่า “ข้าต้องรีบไป
แล้ว นัดสาวไว้”
“สาวที่ไหนเหรอ” ผมทำตาโต
“ทายสิ ข้าว่าเอ็งน่าจะเคยเจอหล่อนมาบ้างแล้วนะ
สวยและเซ็กซี่เชียวแหละ แต่บทบู๊ขึ้นมาก็ดุเดือด
เหมือนกัน คนที่โจมตีที่มั่นของดีฟในตอนแรกเมื่อกี้
น่ะ ไม่ใช่ข้าหรอกเป็นฝีมือหล่อนเอง”
“ฮ้า!” ผมอุทานเสียงหลง “อย่าบอกนะว่า... ยัยเจ๊
โฮโจ มะรินะแห่งหน่วยสืบราชการลับญี่ปุ่น”
“อืมห์ ใช่แล้วล่ะ”
“จะบ้าเหรอ นั่นเพื่อนยะโยยนะ ยะโยยจะว่ายังไง
ถ้าเพื่อนกลายเป็นแม่เลี้ยง”
“ก็คงไม่ว่าอะไร เพราะข้าตายไปแล้ว”
“หมายความว่า ลุงจะไม่กลับไปให้ยะโยยเห็นอีกเห
รอ?”
“เออ หมดเรื่องนี้ ข้าก็จะแต่งงานกับคุณโฮโจ แล้ว
หนีไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่ไหนสักแห่ง” ลุงพูดแล้วก็
ทำตาลอย
“ระวังโดนยัยนั่นเจี๋ยนเข้าให้ล่ะ ท่าทางหล่อนแสบ
สันไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ว่าแต่ว่า... เจ้าหล่อนรู้รึ
เปล่าว่าลุงเป็นใคร”
“อืมห์ คงระแคะระคายอะไรบ้างแหละ ที่จริงเอ็งก็
เดาได้นี่หว่า ว่าหล่อนควรรู้จักข้าในนามอะไร”
“มิสเตอร์ซูซูกิ เก็นซาบูโร่ เซลส์ขายประกันของ
บริษัทซันพลัสที่ไม่มีตัวตนจริงนะเหรอ”
“แม่นแล้ว แต่เอ็งพูดผิดไปอย่าง บริษัทซันพลัสเป็น
บริษัทที่มีทะเบียนอยู่ในบัญชีของกรมพาณิชย์
อย่างถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการนะ
เฟ้ย”
“เพียงแต่ว่า พอตามไปดูที่ตั้งบริษัทตามที่ให้ข้อมูล
ไว้ ก็จะพบว่ามันเป็นที่ดินว่างเปล่าใช่ไหมล่ะ” ผม
ดักคอเข้าให้
“รู้สึกว่าตอนนี้มันกลายเป็นแฟลตไปแล้วว่ะ เออ...
คุยกันนอกเรื่องพอแล้ว ข้าจะไปจริง ๆ ล่ะ ว่าแต่เอ็ง
เถอะรีบกลับไปรังหนูของเอ็งซะ เพราะยาที่เอ็งรับ
เข้าไปน่ะ ต่อให้กินยาแก้ก็ยังไม่หมดฤทธิ์เสียทีเดียว
อีกสักครึ่งชั่วโมงเอ็งจะมีอาการลงแดง”
“อ้าว ไหงงั้นล่ะ”
“ยากล่อมประสาทรุ่นใหม่ของอดีตกรมข่าวกรอง
เอลเดีย จะทำลายความยับยั้งชั่งใจของผู้ถูกยา ทำ
ให้ตอบทุกสิ่งที่ตนรู้อย่างหมดเปลือก ที่จริงถ้าเจ้า
บ้าดีฟมันฉีดให้เอ็งน้อยกว่านั้นสักหน่อยกินยาแก้
เข้าไปก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่นี่...” เก็นซาบุโร่ยัก
ไหล่ “เอ็งจะเจออาการลงแดงอยู่สักชั่วโมงมั้ง ขึ้น
กับภูมิต้านทานของเอ็งด้วย ถ้าพ้นช่วงนั้นไปได้ ก็
รอด”
“ถ้าไม่พ้นล่ะ”
“ก็กลายเป็นคนบ้าสิวะ” บุรุษสูงวัยขยับตัว “เอาล่ะ
รีบไป แม่สาวนั่นเขามายืนคอยแล้ว อ้อ อย่าบอก
หล่อนล่ะ ว่าข้าเป็นใคร และที่สำคัญที่สุด อย่าบอก
ยะโยย ให้แกคิดว่าข้าตายไปแล้วน่ะดีที่สุด จำไว้”
แน่นอน ตั้งแต่อะคะเนะเดินลากขาเข้ามา บิดาของ
ยะโยยก็ขยับตัวเข้าเงามืดไม่ให้นักข่าวสาวเห็นโฉม
หน้าของตน แล้วร่างของเขาก็หายลับไปในความ
มืด
...

back index next