เรื่องนี้ คุณพรพงศ์และคุณสุภาภรณ์ พุทธิเจริญลาภ สองคนพี่น้อง เล่าว่า
คุณพรพงศ์ทำงานที่บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวงไทยจำกัด อยู่ฝ่ายขาย ทำงานในระยะแรก ต้องไปตรวจดูสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ของบริษัท ปรากฏว่า มียอดขายน้อยมาก ทางผู้จัดการได้เร่งรัดให้คุณพรพงศ์ ทำยอดขายให้ได้มากขึ้น ทำให้คุณพรพงศ์รู้สึกเป็นทุกข์ใจ
พอดี น้าสาวชื่อ สุชาดา พุทธิเจริญลาภ ทำงานอยู่ที่วัดพระธรรมกาย นำเทปเรื่องพระมหาสิริราชธาตุมาให้ฟัง ก่อนออกจากบ้านไปทำงาน ทุกๆ เช้า คุณพรพงศ์จะเปิดเทปฟัง จนจบหนึ่งรอบ แล้วก็นึกถึงบุญกุศลที่เคยกระทำ ไว้ในเรื่องต่างๆ เช่น บุญสร้างพระธรรมกายประจำตัว บุญหล่อ รูปทองคำ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ทำดังนี้ ทุกเช้า
ไม่นานนัก มีลูกค้ารายหนึ่ง ซึ่งหยุดซื้อขายกับบริษัทมาถึง ๓ ปีแล้ว ติดต่อเข้ามา คุณพรพงศ์จึงไปดูแล สนันสนุนกิจการ เพียงเดือนเดียว ยอดขายของลูกค้ารายดังกล่าว ซึ่งอยู่ทางฝั่งธน พุ่งขึ้นสูงเป็นที่หนึ่งของภาค (ภาคนครหลวง ๒) เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายของบริษัท มีคุณพรพงศ์ผู้เดียว ที่มียอดขายพุ่งขึ้นลิ่ว คนอื่นๆมียอดขายแต่เป็นยอดตกทั้งสิ้น เมื่อผลงานสวนกระแสเศรษฐกิจเช่นนี้ คุณพรพงศ์รู้สึกเชื่อมั่นในอานุภาพของบุญ เพราะขนาดยังไม่ได้รับพระมหาสิริราชธาตุองค์จริง
เพียงได้ฟังเทปที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระมหาสิริราชธาตุทุกเช้า ก่อนไปทำงาน ยังมีโชคลาภขนาดนี้ คุณพรพงศ์ จึงรีบไปทำบุญสร้างองค์พระเพื่อบูชาคุณครูบาอาจารย์ เมื่อทำบุญไปแล้วก็ตั้งใจรักษาศีลห้า เพื่อให้กาย วาจา ใจบริสุทธิ์ เพื่อรองรับพระศักดิ์สิทธิ์ มาอยู่ด้วย
สำหรับคุณสุภาภรณ์ พุทธิเจริญลาภ ผู้เป็นน้องสาว อยู่ต่างจังหวัด ตกงานจึงเข้ามาหางานทำที่กรุงเทพฯ ตลอดเวลา ๓ เดือนอยู่ที่บ้านพี่ชาย เป็น ทุกข์ใจมาก สมัครงานไว้ถึง ๒๐ แห่ง เรียกไปสัมภาษณ์เพียง ๒ แห่งเท่านั้น แล้วก็พลาด เพราะมีความรู้แค่ปริญญาตรีสู้ปริญญาโทไม่ได้บ้าง เป็นผู้หญิงสู้ผู้ชายไม่ได้บ้าง จากนั้นมาก็ไม่มีบริษัทใดเรียกตัวอีกเลย
ระยะนั้นเห็นพี่ชายบ่นกลุ้มใจเรื่องงานที่ ทำอยู่ว่า ยอดขายน้อยมาก แล้วเปิดเทปเรื่อง พระมหาสิริราชธาตุฟังทุกเช้า คุณสุภาภรณ์ก็ฟังตาม ทีแรกไม่ตั้งใจฟัง ฟังไม่จบ พอฟังซ้ำๆ หลายวันเข้า เริ่มเข้าใจเรื่องของบุญ ฟังแล้ว เริ่มคิดตาม เข้าใจและซาบซึ้งคำพูดของ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อท่านมากขึ้น จึงเริ่มใส่บาตรตอนเช้าทุกวัน ไหว้พระพุทธรูป ไหว้หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไหว้รูปภาพของพระมหาสิริราชธาตุที่ น้าสาวให้มา ไหว้พระธรรมกาย แล้วนั่งสมาธิ เสร็จแล้วอธิษฐาน จิตทุกครั้งว่า
เจ้าประคุณ.. ลูกยังไม่มีงานทำ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยให้ลูกมีงานทำ ให้มีเงินเลี้ยงลูก ตนเอง เลี้ยงดูแม่ และลูกจะทำบุญให้ยิ่งๆ ขึ้นด้วย
เธอทำเป็นประจำอยู่อย่างนี้ได้ประมาณ ๑ สัปดาห์ ก็มีหนังสือเรียกตัวไป สัมภาษณ์หลายแห่ง ทั้งบริษัทใหญ่และบริษัทเล็ก คุณสุภาภรณ์ จึงเลือกบริษัทที่ใกล้บ้านที่สุด เพราะสะดวกในการเดินทาง และระดับเงินเดือนที่ได้ ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก
สองคนพี่น้องคู่นี้เล่าเรื่องความมีโชคดีมาให้ฟัง ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ได้เป็นเจ้าของพระมหาสิริราชธาตุเลย เพียงแต่ฟังเรื่องราว เกี่ยวกับ ประวัติและ คุณสมบัติของ พระมหาสิริราชธาตุ จากเทปที่บันทึกเสียง พระเดชพระคุณ หลวงพ่อเท่านั้น ความสำเร็จต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้ โดยรวดเร็ว จนกระทั่งมีรายได้มากพอทำบุญ สร้างพระธรรมกายประจำตัว ได้รับพระของขวัญ พระมหาสิริราชธาตุไปเป็นเจ้าของ
หากจะให้สันนิษฐานน่าจะเป็นเพราะการฟังธรรม ใส่บาตร ไหว้พระ สวดมนต์ และการนั่งสมาธิ ล้วนแต่ก่อให้เกิดกุศลจิตขึ้นมา บุญกุศล ที่เกิดขึ้น มีพลังบันดาลให้บุญเก่าแต่เดิม หรือบุญจากกุศลจิตใหม่ปัจจุบัน ได้ช่องได้โอกาส ให้ผล ทำให้สิ่งดีๆ ในชีวิตเกิดขึ้นมา อย่างไม่คาดคิด
ทำนองเดียวกัน หากจิตใจของใครก็ตาม คิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องอกุศล พวกบาปเก่าก็จะแห่ กันมาให้ผล เปรียบเหมือนนายมีคนรับใช้ ๒ คน คนหนึ่งชื่อเจ้าบุญ อีกคนหนึ่งชื่อเจ้าบาป นายคิดถึงใครมากนายก็เรียกคนรับใช้คนนั้นมาก เรียกอยู่บ่อยๆ คนรับใช้ก็ย่อมไม่ห่างนาย คนรับใช้นิสัยดี ย่อมทำแต่เรื่องดีๆ ให้ คนรับใช้นิสัยเลว ก็ทำให้นายเดือดร้อนยุ่งยากอยู่เสมอ และหากนายเรียกใช้คนรับใช้คนใดบ่อยๆ ผู้คนที่เป็นพวกพ้องของ คนรับใช้คนนั้น ก็จะพลอยเข้ามาใกล้ พลอยรับใช้ไป ด้วย หากฝ่ายใดไม่ถูกเรียกหา ก็มีแต่ต้องหลีกไป ให้ไกลตา
ด้วยเหตุนี้ ใครก็ตามเรียกบุญมาใช้ด้วยการ อธิษฐาน (การอธิษฐานหมายถึงการเรียกบุญ) เมื่อตนพอมีบุญเก่าให้ใช้ บุญก็จะให้ผล พรรคพวก ฝ่ายบุญที่มีอยู่ ก็ตามมาให้ผลด้วย จึงปรากฏว่า ถ้าใครมีโชคดี มักจะไม่โชคดีเพียงเรื่องเดียว แต่จะมีโชคดีทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็กตามมาอีกเป็นแถวๆ และถ้าเรียกหาเรื่องเลวๆ บาปอกุศลใหญ่น้อยทั้งหลายที่ทำ สะสมไว้ก็ย่อมตามกันมาให้ผลเป็นแถว รุมล้อมให้ตกงานบ้าง แม่บ้านหนีบ้าง แม่ตาย ลูก เจ็บ รถชน ยุ่งกันไปหมด
ใจแม้เป็นสิ่งมองไม่เห็นตัว แต่มีพลังมีอานุภาพยิ่งนัก ถ้าใช้ให้ถูกทางก็มีคุณอนันต์ ทำนองเดียวกันถ้าใช้ผิดก็มีโทษมหันต์ อย่าดูถูกว่า การคิดที่ใจ ไม่น่าเป็นกรรมอะไร ความจริงเป็นกรรมชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่ามโนกรรม เพราะใจเป็นหัวหน้าใหญ่ เหมือนหัวหน้าโจร สั่งปากสั่งร่างกาย ซึ่งเปรียบเสมือนลูกน้อง ให้ทำตามที่ตน ต้องการได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถึงเรื่องกรรมอยู่ข้อหนึ่งว่า
ภิกฺขเว เจตนาหํ กมฺมํ วทามิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอกล่าวว่า เจตนานั่นแหละคือกรรม
ตัวเจตนาไม่ได้อยู่ที่กาย ไม่ได้อยู่ที่วาจา แต่เป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งของจิตใจ ผลักดันให้กายและวาจาทำตามที่ใจต้องการ การฆ่าสัตว์ โดยตั้งใจ ย่อมเป็นกายกรรมแน่นอน แต่ถ้าทำให้สัตว์ตายโดยบังเอิญ เช่น วิ่งๆ ไปเหยียบตัวทากตาย อย่างนี้ไม่เป็นกายกรรม เป็น เพียงกรรม เล็กน้อย ไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้ว กรรมเล็ก กรรมน้อยพวกนี้ จึงจะให้ผล ด้วยเหตุนี้ คนฉลาดที่มีความรู้ทางธรรมะอยู่บ้าง จึงสำรวมระมัดระวัง จิตใจของตนเองไม่ให้คิดไปในเรื่อง อกุศลต่างๆ ให้คิดแต่เรื่องกุศล คิดแต่เรื่อง ดีงาม เป็นกุศลมโนกรรม อยู่ตลอดเวลา พระเดชพระคุณ หลวงพ่อ ให้เราสวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ อยู่เสมอๆ ก็เพื่อให้ใจห่างจากอกุศล ให้มีแต่กุศลมโนกรรมตลอดเวลา
[สารบัญ] [ ๕๑ ] [ ๕๒ ] [ ๕๓ ] [ ๕๔ ] [ ๕๕ ] [ ๕๖ ] [ ๕๗ ] [ ๕๘ ] [ ๕๙ ]