คุณปิยะลักษณ์ แจวเจริญ เป็นคนอำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เข้าวัดพระธรรมกายครั้งแรก เมื่อครั้งอัญเชิญพระบรมพุทธเจ้า ประดิษฐาน ณ มหาธรรมกายเจดีย์ ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ในวันนั้นเธอมีความปีติมาก และได้เป็นกัลยาณมิตร ให้กับ ครอบครัว โดยชวนลูกสาว มาบวชอุบาสิกาแก้ว หลังจากนั้น ทุกงานบุญใหญ่ พ่อ-แม่-ลูกหญิง-ลูกชาย ก็จะพากันมาปฏิบัติธรรม ที่วัดพระธรรมกาย ทุกคนมีจิตใจเลื่อมใส ศรัทธา และมาร่วมงานบุญทุกๆอาทิตย์ต้นเดือน
คุณปิยะลักษณ์ และครอบครัว ได้สร้างองค์พระแกนกลางกันทุกคน ได้รับองค์พระของขวัญแล้ว และสวดสรรเสริญคุณ พระมหาสิริราชธาตุ สม่ำเสมอ เธอได้เปิดบ้าน กัลยาณมิตร และสอนลูกๆ ทั้งสอง สวดมนต์ทำวัตรเย็น สวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ ให้ทุกคนยึดมั่นในคุณของพระรัตนตรัย ตรึกระลึกถึงคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่เสมอๆ
เธอเล่าว่า ประมาณเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ ช่วงที่มีการร่วมสร้างพระธรรมกาย ที่แกนกลางประดิษฐาน ณ มหาธรรมกายเจดีย์ครั้งแรกๆ และผู้ที่ได้ร่วมสร้าง จะมีโอกาสไป ปฏิบัติธรรม ที่สวนบัวหนึ่งสัปดาห์ วันนั้น ก่อนออกเดินทาง ได้กราบบูชาพระรัตนตรัย ขอพรท่าน ช่วยคุ้มครองดูแลลูกๆ และครอบครัว ให้ปลอดภัยด้วย พร้อมกับสอนลูกๆ ให้สวดมนต์ และสวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ ทุกวัน ช่วงที่คุณแม่ไปปฏิบัติธรรม ที่สวนบัวรีสอร์ท จังหวัดเชียงใหม่
ขณะที่คุณปิยะลักษณ์ไปปฏิบัติธรรมนั้น ได้ให้ลูกๆอยู่กับคุณพ่อ ซึ่งในบริเวณบ้าน จะมีปั้มน้ำมันที่ครอบครัวประกอบกิจการอยู่ มีคุณตาพักอยู่ที่สำนักงาน ของปั้มน้ำมัน ซึ่งอยู่ ห่างจากบ้านประมาณ ๑๐๐ เมตรเท่านั้น ปกติทุกคืน คุณตาจะเดินสำรวจรอบๆ บ้าน ประมาณเที่ยงคืน-ตีหนึ่ง ซึ่งคุณตาจะตรวจดูความเรียบร้อย บริเวณบ้านอย่างนี้ เป็น ประจำทุกวัน
ในคืนวันเกิดเหตุคุณตา ก็ยังคงเดินสำรวจความเรียบร้อยเหมือนทุกวัน เมื่อดูแล้วไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงได้เข้านอน
น้องมินท์ผู้ประสบเหตุการณ์
เล่าให้ฟังว่า เผอิญวันนั้น
คุณพ่อติดธุระสำคัญ
ไม่สามารถกลับบ้านได้
ส่วนคุณแม่ก็ไปปฏิบัติธรรม
ที่สวนบัวรีสอรท์เป็นวันที่ห้า
อีกสองวันจะครบ หนึ่งสัปดาห์
คืนนั้น ฝนตกลงมาอย่างหนัก ลมพัดกรรโชกแรง น้องมินท์ (เด็กหญิงกชกร) และน้องชายเข้านอนไปแล้ว
ขณะที่น้องมินท์ กำลังหลับสบายอยู่นั้น ก็ต้องตกใจตื่น เพราะ ได้ยินเสียงดัง ลอดเข้ามาในห้องนอน เสียงคนกำลังพยายามจะพังประตูเข้ามา น้องมินท์บอกว่าเสียงดังมาก ตอนนั้น เวลาประมาณตีสี่กว่า เสียง ก๊กๆ ดังมาจากประตูหลังบ้าน ซึ่งอยู่ติดกับห้องนอน ของน้องมินท์กับน้องชาย เสียงสว่านเจาะประตู เลาะบานเกล็ด ดังไม่ขาดระยะ เธอรู้สึกกลัวมาก หันไปมองน้องชาย ก็หลับไม่รู้เรื่องเลย
ความกลัวเข้าครอบงำ หัวใจดวงน้อยๆ ของน้องมินท์ มือเท้าเย็นเฉียบ นี่เราจะทำอย่างไรดี คุณพ่อ คุณแม่ก็ไม่อยู่ เราจะออกไปดูดีมั้ยนะ
ขณะกำลังลังเลใจอยู่นั้น รู้สึกกลัวมากไม่รู้จะพึ่งใครได้ พลันคำพูดที่คุณแม่เคยสอนให้ สวดสรรเสริญคุณพระมหาสิริราชธาตุ ก็ดังก้องมา เตือนสติ ให้นึกถึงพระมหาสิริราชธาตุ ขึ้นมา ทันที คิดได้ดังนั้น เธอจึงรีบวิ่งไปล็อคประตูห้องนอน เสียงคนพยายามงัดแงะ หรือถอดชิ้นส่วนประตู ยังคงดังอย่างไม่หยุดยั้ง
น้องมินท์พยายามตั้งสติ ตั้งใจสวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ นึกอยู่อย่างเดียวว่า ตอนนี้ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ในบ้านเลย ไม่มีใครช่วยน้องมินท์ได้ นอกจากอานุภาพ พระมหาสิริราช ธาตุ หวังพึ่งพระรัตนตรัย ที่คุณแม่พร่ำสอน อยู่ทุกวันว่า ให้น้องมินท์หมั่นตรึกระลึกถึงคุณท่านอยู่เสมอ
ณ เวลานี้เธอจึงไม่นึกถึงสิ่งอื่นใด ควบคุมสติให้มั่นคงตรึกระลึกถึง องค์พระมหาสิริราชธาตุ และเปล่งเสียงสวดสรรเสริญ ดังก้องออกมาจาก ศูนย์กลางกาย จนจิตเริ่มเป็น สมาธิ เสียงดังแก็กๆ ลอดเข้ามาในห้องนอน ตลอดเวลา พร้อมกับเสียงน้องมินท์ สวดสรรเสริญ ไปเรื่อยๆ เธอเริ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้น เหมือนมีพลังบางอย่าง แผ่ซ่านเข้ามา ในดวงจิต จึงตั้งจิต อธิษฐานว่า ขออย่าให้ เกิดอันตรายใดๆ ที่บ้านเลย และขออย่าให้พวกเขา เข้ามาทำร้าย น้องมินท์กับน้องชายเลย
น้องมินท์สวดสรรเสริญไปเรื่อยๆ จนเสียงข้างนอกเริ่มเงียบลง ใช้เวลาสวดนานเกือบชั่วโมง จนนับจำนวนไม่ได้ว่ากี่จบ จวนใกล้สว่างแล้ว เวลาเกือบหกโมงเช้า เธอรอจนแน่ใจว่า ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้น จึงค่อยๆ ย่องออกจากห้องนอน มาที่จุดต้นเสียงคือ ประตูหลังบ้าน พอมาถึงก็ต้องตกใจมาก ที่มองเห็นประตูถูกงัด ลูกบิดหักคาประตู เศษไม้หักกระจาย มีรอยกรีดมุ้งลวด และบานเกล็ดถูกถอดออก
น้องมินท์รีบวิ่งไปบอกคุณตา เมื่อคุณตามาถึงก็ตกใจมากเช่นกัน เพราะลักษณะที่ขโมย พยายามพังประตูนั้น แสดงว่า มีเครื่องมือมาพร้อมอย่างแน่นอน ทั้งสว่านเจาะ และไขควง และต้องมามากกว่าหนึ่งคน จะต้องเป็นมืออาชีพ เป็นคนในพื้นที่ และดูลาดเลามานานแล้ว คุณตารีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงเป็นเวลาประมาณ ๗ โมงเช้า ถึงกับพูดว่า เหลือเชื่อจริงๆ ที่โจรเข้าบ้านไม่ได้ เพราะสภาพประตูบ้าน ไม่มีเหล็กดัด เป็นประตูไม้ธรรมดา มีเหล็กดัด และ บานเกล็ดที่หน้าต่างเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ได้แน่นหนาแต่อย่างใด ตำรวจมาพิสูจน์หลักฐานปรากฏว่า มีรอยนิ้วมือเต็มไปหมดเลย กลอนถูกสะเดาะออกทั้งหมด ขโมยพยายาม งัดเข้า ทางประตู จนลูกบิดหักคาประตู แต่เข้าไม่ได้ จึงเปลี่ยนแผนเข้าทางหน้าต่างแทน โดยถอดกระจกบานเกล็ดออกหมดและกรีดมุ้งลวด
แต่จนแล้วจนรอด ขโมยก็ยังเข้าบ้านหลังนี้ไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แต่งง เหลือเชื่อจริงๆ นี่ถ้าหากขโมยเข้าบ้านได้ น้องมินท์กับน้องชายจะเป็นอย่างไร หากพวกขโมยจ้อง จะเอา แต่ทรัพย์สินไป ก็คงพอทำเนา แต่วิสัยโจรย่อมรู้ดีอยู่ว่า เป็นคนไม่มีศีลธรรมในจิตใจ หากเกิดอันตรายถึงขั้น มีการทำร้ายร่างกาย ชีวิตบริสุทธิ์น้อยๆ สองชีวิต จะเป็นอย่างไร ลูกทั้งสอง ที่เป็นดวงใจของพ่อ-แม่ เมื่อท่านทราบแล้วจะรู้สึกอย่างไร
น้องมินท์โชคดีมากที่มีสติ และนึกถึงพระมหาสิริราชธาตุ อธิษฐานขอให้ท่านคุ้มครอง ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น จวบจนสิ้นเสียงที่คนร้าย พยายามจะพังประตูเข้ามา จึงเป็นปริศนาว่า ทำไมขโมยถึงเข้าบ้านไม่ได้ แต่ครอบครัวของน้องมินท์มั่นใจว่า เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อานุภาพของพระรัตนตรัย ที่ผ่านทางองค์พระมหาสิริราชธาตุ ที่น้องมินท์นึกได้ ในตอนนั้น นั่นเอง
เรื่องของคุณปิยะลักษณ์ ทำให้นึกไปถึงเรื่องในอดีต ชื่อคุณยายน่วม บุญทรง ถ้ายังมีชีวิตอยู่จะมีอายุ ๖๒ ปี เล่าไว้ว่า
เมื่อท่านอายุราว ๑๑-๑๒ ขวบ
มีอยู่คราวหนึ่ง
ท่านต้องอยู่เฝ้าบ้านตอนกลางคืน
กับน้องๆ สองคน อายุไม่ห่างกันนัก
พ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้าน
ไปตัดฟืนกันในป่า ต้องค้างคืนที่โน่น
คืนนั้น มีขโมยจะเข้ามา
เปิดประตูคอกวัวใต้ถุนบ้าน เพื่อจูงวัวไป
พอคุณยายน่วม
ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ใต้ถุน มองลงไป เห็นลางๆ
ว่า
มีขโมยกำลังจะขโมยวัวอยู่ ๒ คน
ท่านจึงปลุกน้องเล็กทั้ง ๒ คน ตื่นขึ้นแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง บอกว่า พอท่านออกเสียงเรียก พ่อ ลุง และอาของท่าน ให้น้องทั้งสอง ช่วยกันวิ่งในบ้าน ให้เสียงดังโครมครามทีเดียว น้องก็รับปาก
คุณยายน่วมก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า พ่อๆ ตื่นเร็วเข้า ลุง..ตื่น อา..ตื่น เร็ว ขโมยเข้ามาในคอกวัวแล้ว ยิงมันเลย.... ฝ่ายน้องทั้งสองคน ก็วิ่งสวนกันไปมา ดังโครมคราม เหมือน ฝีเท้าของคนหลายคน บ้านสมัยโบราณ เป็นพื้นกระดาน ไม่ได้ตอกตะปู จึงมีเสียงดังเวลาคนวิ่ง แล้วคุณยายน่วมก็พูดอีก ี่ๆ ปืนพ่อ เอ้านี่ดาบของลุง อาๆ นี่หอกเอาไปเลย แล้ว ก็ช่วยน้องวิ่ง
ท่านว่า เจ้าหัวขโมย ๒ คนนั่น วิ่งออกจากคอกวัวหนีแน่บไปเลย พอสว่างมันย้อนมาดู ก็รู้ว่าถูกเด็กหลอก เพราะมันก็สืบไว้แล้วว่า ไม่มีผู้ใหญ่อยู่บ้าน ความละอายที่เสียรู้เด็ก ขโมยทั้งคู่ ไม่มาขโมยวัวที่บ้านคุณยายน่วมอีกเลย
เล่าให้ฟังเป็นตัวอย่างว่า การทิ้งเด็กให้เฝ้าบ้านตามลำพัง มีอันตราย ต้องคิดการแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ไว้ให้เด็กด้วย ในกรณีนี้ คุณปิยะลักษณ์ให้ลูกสวดสรรเสริญ พระรัตนตรัย และพระมหาสิริราชธาตุ ย่อมเป็นประโยชน์อย่างน้อย ทำให้เด็กมีขวัญมีกำลังใจ ไม่หวาดกลัว จนช็อคหมดสติ
เสียงสวดมนต์ยามดึกสงัด สวดเบาก็เหมือนดัง เพราะอยู่ท่ามกลางความเงียบ ขโมยเอง จิตใจก็หวั่นกลัวอยู่แล้ว เพราะกำลังทำทุจริต ดีไม่ดีอาจเห็นภาพอะไรที่นึกไม่ถึง ทำให้ เข้าบ้านไม่ได้ ทั้งที่เป็นประตูไม้ธรรมดา ลูกกรงเหล็กก็ไม่มี ทำให้ไปงัดหน้าต่างต่อ แล้วก็เลิกงัดไป เข้าบ้านไม่ได้
อย่างไรก็ตามในกรณีอย่างนี้ ผู้ใหญ่ต้องสอนเด็กๆ ไว้ เช่นให้ตื่นขึ้นมา เปิดไฟให้สว่างไปทั้งบ้าน แกล้งเปิดโทรทัศน์ วิทยุ ที่ห้องโน้นห้องนี้ เหมือนอยู่กันหลายคน แล้วก็ตะโกน ส่งเสียงคุยกัน จะมีโทรศัพท์หรือไม่ก็ตาม แกล้งพูดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ พูดบ่อยๆ เหมือนกับว่า ตำรวจกำลังเดินทางใกล้จะมาถึง แค่นั้น ก็ไม่มีหัวขโมยคนไหน กล้าอยู่แล้ว หรือว่า ถ้ามีทางออกทางอื่น เช่นประตูหลัง หน้าต่างหนีไฟ ก็พากันย่องหนีออกมา วิ่งไปเรียกให้ผู้อื่นมาช่วย นอกจากนั้น ยังต้องคิดเผื่อเรื่องอื่นๆ ไว้ เช่นเรื่องไฟไหม้ เรื่องน้ำท่วมกะทันหัน เรื่องพวกมิจฉาชีพมาล่อลวง ฯลฯ
ธรรมะข้อที่ทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความกล้าหาญ มีอยู่ ๕ อย่าง ศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ(ศึกษามาก) ปรารภความเพียร และปัญญา ควรฝึกให้ลูกหลานปฏิบัติเสีย ตั้งแต่พวกเขายังเล็ก ย่อมเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า